แล้วระยะเวลา 3 ปีของโปรเจกต์ดัดแปลงหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของโลกชื่อ The Last Of Us ระหว่าง HBO กับ Naughty Dog ก็จบลงเสียที ถ้าจะบอกว่านี่คือหนึ่งในซีรีส์ซึ่งดัดแปลงจากวิดีโอเกมที่มีแฟนคลับรอคอยมากที่สุดครั้งหนึ่งของโลกก็ไม่ผิดเลย เพราะตลอด 10 ปีของ The Last Of Us นั้น ไม่เคยเป็นเส้นทางที่ใช้คำว่า ‘กลาง ๆ’ ได้สักครั้ง นี่คือเกมที่มีผู้เล่นทุกรูปแบบ เกลียดมาก / ชอบมาก / เกลียดระบบการเล่นชอบเนื้อเรื่อง / เกลียดเนื้อเรื่องชอบระบบการเล่น และเป็นการที่ผู้คนจำนวนมากออกมาถกเถียงในประเด็นต่าง ๆ มากมายแม้ว่าเกมจะจบไปตั้งแต่ปี 2020 พร้อมรางวัล Game Of The Year ประจำปีไปแล้วก็ตาม ในฐานะที่เป็นนักเขียนของ UNLOCKMEN และแฟนคลับเดนตายคนหนึ่งของ The Last Of Us ถึงขนาดว่าเล่นเกมนี้จบแล้วไม่สามารถหาเกมที่ดีกว่ามาเล่นได้อยู่พักใหญ่ เราจะขอพูดถึงเวอร์ชั่นซีรีส์ที่เพิ่งปล่อยตอน Pilot
ในบรรดาวงร็อกจากฝั่งอเมริกาที่ทำผลงานได้อย่างน่าจดจำในช่วงปลายยุค 90’s จนถึงปี 2000’s หนึ่งในลิสต์หลายชื่อของใครหลายคนจะต้องมีวง Incubus เป็นวงโปรดด้วยอย่างแน่นอน วงดนตรีที่นำเอาซาวด์อันหลากหลายมาผสมผสานจนเกิดเป็นชิ้นงานศิลปะทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นร็อก, นูเมทัล, ฮิปฮอป, ฟังก์ หรือเรกเก้ เป็นต้น อีกทั้งพวกเขายังเป็นวงที่มีฟรอนต์แมนหน้าตาหล่อไม่แพ้บอยแบนด์อย่าง Brandon Boyd จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของวง Incubus จะได้รับความสนใจในช่วงเวลานั้น วง Incubus เริ่มก่อตั้งกันตั้งแต่ในปี 1991 โดย 3 สมาชิกดั้งเดิมได้แก่ Bradon Boyd, Mike Einziger (กีตาร์) Alex Katunich (เบส) และ José Pasillas (กลอง) โดยพวกเขาทั้งหมดไปเจอกันในโรงเรียน Calabasas High School หลังจากนั้นก็ Gavin Koppel หรือ “DJ Lyfe” มารับหน้าที่มือเทิร์นเทเบิ้ลให้กับทางวง (แต่ก็อยู่กับวงได้ไม่นานเพราะลาออกไปในปี 1998 และถูกแทนที่โดย Chris Kilmore มาจนถึงปัจจุบัน) พวกเขาค่อย
“โพสต์กรันจ์” หรือที่ใครหลายคนเรียกกันติดปากว่า “อเมริกันร็อก” ซึ่งพื้นเพทางดนตรีมันก็มาจากดนตรีกรันจ์ออริจินัลแบบที่เราได้ฟังกันจากวง Nirvana หรือ Pearl Jam แต่หลังจากมันได้รับความนิยมแบสุดขีด จึงไม่แปลกที่กรันจ์จะได้สร้างอิทธิพลและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นถัดมา ทำให้กรันจ์เกิดวิวัฒนการที่ผ่านการปรุงแต่งให้ฟังง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก จนสามารถกลายเป็นดนตรีกระแสหลักหรือเมนสตรีมที่ใคร ๆ ก็ฟังได้ แถมยังมีเนื้อหาที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่ชวนซีเรียส แต่นำเสนอเนื้อหารัก ๆ ใคร่ ๆ ซะเป็นส่วนมาก “โพสต์กรันจ์” ขยายอิทธิพลในช่วงปลายยุค 90’s ลากยาวจะไปถึงปลายยุค 2000’s เลยทีเดียว แต่ช่วงพีคที่สุดคงหนีไม่พ้นต้น 2000’s ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กระแสดนตรีนูเมทัลได้รับความนิยมนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “โพสต์กรันจ์” ในช่วงนั้นได้รับกระแสต่อต้านไม่น้อย เพราะหลาย ๆ คนดันไปตีตราว่าวงพวกนี้คือ “ร็อกของปลอม” (ทั้ง ๆ ที่ซาวด์มีความหนักหน่วงที่หาฟังไม่ได้ง่าย ๆ จากคลื่นวิทยุในยุคปัจจุบัน) ถึงแม้จะโดนแขวะ โดนเหยียด แต่มันก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความสำเร็จของบรรดาวงสายโพสต์กรันจ์ได้เลย ด้วยเหตุนี้เราจึงรวบรวม 10 เพลงฮิตของวงโพสต์กรันจ์มาฝากทุกคนกันครับ “HOW YOU REMIND ME” NICKELBACK วงโพสต์กรันจ์จากประเทศแคนาดาที่ข้ามประเทศมาประสบความสำเร็จในอเมริกา จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ผลงานชุดแรกของ Nickelback คือ
หลาย ๆ คนมักจะตีความดนตรีแนว “ฮาร์ดคอร์” กันผิด เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเหมารวมว่าเพลงที่หนัก ๆ แหกปาก รุนแรง คือแนวฮาร์ดคอร์ไปซะทั้งหมด โดยเฉพาะในยุคนูเมทัลที่ในเริ่มแรกก็ถูกเรียกแบบนั้นเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วซาวด์ของมันไม่ได้มีความใกล้เคียงเลย ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักพื้นฐานของฮาร์ดคอร์กันซักนิดก่อนดีกว่า ดนตรีฮาร์ดคอร์มีพื้นฐานมาจาดนตรีพังก์ ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายยุค 70’s ถึงช่วงต้นยุค 80’s โดยเฉพาะในวอชิงตัน ดี.ซี. และนิวยอร์ก แต่ดนตรีของฮาร์ดคอร์จะมีความดิบกว่า หนักกว่า รวดเร็วกว่า และเสียงดังกว่า พังก์ขึ้นไปอีกเท่าตัว แถมยังใช้การแหกปากในการร้องเพลงด้วยเช่นกัน มีวงอย่าง Minor Treat, Bad Brains, Black Flag, Circle Jerks และ Dead Kennedys เป็นศิลปินบุกเบิกและเป็นต้นแบบให้กับวงในยุคต่อมา ดนตรีฮาร์ดคอร์ ยังมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจที่แฝงตัวอยู่ ไม่ว่าการนิยมใช้ระบบ D.I.Y., การมอชพิต รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบ Straight Edge (ไม่ดื่ม ไม่เสพ ไม่มั่วเซ็กส์) เป็นต้น นอกจากนี้ดนตรีฮาร์ดคอร์ยังกลายเป็นอิทธิพลสำคัญให้กับดนตรีแนวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแธรช
ช่วงปีใหม่ที่มาพร้อมกับอากาศเย็น ๆ แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นบรรยากาศดี ๆ ที่เราควรจะใช้เวลากับมันให้เต็มที่ เพราะในหนึ่งปีมันจะผ่านมาแค่วูบเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะในกรุงเทพ แต่นอกจากอากาศที่เป็นใจให้กับเราแล้ว การได้ฟังเพลงดี ๆ ที่เข้ากับช่วงเวลาเหล่านี้ก็เป็นอะไรที่ดีต่อใจไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้เราจึงขอคัดเลือกเพลงอะคูสติคแนวอีโม/ป๊อปพังก์ มาให้ทุกคนได้ลองฟังกัน HOOBASTANK “THE REASON” (2020 ACOUSTIC VERSION) ชาวร็อกยุค 2000’s ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้แน่นอน โดยเฉพาะสายที่ชอบฟังเพลงสากล สำหรับเพลง “The Reason” กลายเป็นผลงานที่ทำให้วง Hoobastank เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มันถูกเผยแพร่ให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 2004 โดยมีดนตรีที่เต็มไปด้วยเมโลดี้สุละมุมหู ชวนเคลิบเคลิ้ม และไพเราะจนสะกดใจ เวอร์ชั่นปกติก็ว่าดีแล้ว พอมาเจอเวอร์ชั่นอะคูสติคที่ทางวงทำมาฉลองครบรอบ 15 ปี ให้กับเพลงนี้ก็ยังคงน่าฟังไม่แพ้กัน ถือเป็นอีกฟีลหนึ่งที่แฟนเพลง Hoobastank จะต้องไม่พลาด MY CHEMICAL ROMANCE “CANCER” (ACOUSTIC VERSION) ผลงานเพลงจากอัลบั้ม “The Black Parade” ของหนึ่งในสุดยอดวงสายอีโม/พังก์
อีก 2 วันสุดท้ายก็จะเข้าปีใหม่แล้ว (ไวมาก !) ใครที่ยังเลือกกิจกรรมทำในช่วงวันหยุดยาวอยู่ UNLOCKMEN ขอแนะนำมังงะ 6 เล่มที่ต้องอ่านก่อนหมดปี 2022 เพราะในหน้ากระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยข้อคิดในการใช้ชีวิตดีมากมาย ซึ่งจะเป็นแรงซัพพอร์ตชีวิตในปี 2023 ของทุกคนได้เป็นอย่างดี : ) Look Back (Tatsuki Fujimoto) ตั้งคำถามกับความฝันของตัวเองให้แน่ใจ ว่ามันใช่ความฝันของเราจริงมั้ย ? ที่สุดของมังงะ One Short (ตอนเดียวจบไม่มีภาคต่อ) ของปี 2022 และของชีวิตเรา ในช่วงเวลาที่มังงะโชเน็นเรื่อง Chainsaw Man กำลังไฮป์อย่างสุดขีด ทั้งยอดขายต่อเล่ม และการถูกนำไปต่อยอดทำเป็นอนิเมะโดยสตูดิโอ MAPPA จนทำให้เกิดคำถามมากมายว่า ‘สมการความเก่งของนักเขียนการ์ตูนที่ชื่อ ‘ฟูจิโมโตะ ทัตสึกิ’ มาจากไหน’ มังงะเรื่อง Look Back มีคำตอบของคำถามนั้นซ่อนอยู่ในรูปแบบของจดหมายที่คุณฟูจิโมโตะเขียนถึงตัวของเขาเองในฐานะของนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง เรื่องย่อ : Fujino เด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมที่เป็นมือวาดการ์ตูนแก๊กประจำหนังสือพิมพ์ประจำสัปดาห์ของห้อง ถูกอาจารย์ประชั้นไหว้วานขอให้ช่วยแบ่งพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์ให้หน่อย เพราะอยากให้เพื่อนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ชื่อ
ถ้าให้พูดชื่อซิทคอมยุคปลาย 90s ในดวงใจมาสักเรื่อง มั่นใจเลยว่าไม่มีใครสามารถเลือกเรื่องเดียวได้หรอก ก็ในช่วงเวลานั้นมีทั้ง Sex and the City (1998-2004) และ Friends (1994-2004) ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังไม่นับเรื่องอื่น ๆ อีกเต็มไปหมด แต่เราอยากขอให้ทุกคนเหลือที่ว่างในใจเผื่อเอาไว้อีกสักที่ครับ เพราะซิทคอมเรื่อง That ’70s Show เป็นโชว์ที่เราไม่อยากให้ชาว UNLOCKMEN พลาดเด็ดขาด กัญชา, เพลงร็อค และ ชีวิตของวัยรุ่นอเมริกันปี 70s คือสิ่งที่ขับเคลื่อนซิทคอมเรื่องนี้ That ’70s Show คือซิทคอมที่ออกฉายในปี 1998-2006 เล่าเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นสุดเบียวปินเกลียวผู้ปกครองให้หัวจะปวดไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งโดดเรียน แอบไปกินเบียร์ทั้ง ๆ ที่ยังอายุไม่ถึง หนักถึงขนาดแอบดูดกัญชาอยู่ในห้องใต้ดินในขณะที่พ่อ-แม่อยู่ข้างบน ผ่านฉากหลังของเมือง Point Place (เมืองสมมติ) ในรัฐ Wisconsin (อันนี้มีจริง) ในปี 70s รู้จักตัวละครกับนักแสดงของเรื่อง : Eric Forman (Topher
การโปรโมตสินค้าไม่ว่ายุคไหน ๆ ก็มักจะใช้พรีเซนเตอร์เป็นบุคคลมีชื่อเสียง ทั้งดารา, ศิลปิน หรือในยุคปัจจุบันก็คือเหล่าอินฟูลเอนเซอร์ทั้งหลาย เพราะเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างเชื่อว่าหากบุคคลเหล่านี้จับต้องสินค้าของพวกเขา ก็ย่อมจะมีโอกาสที่คนจะเลือกซื้อสินค้าไปใช้ตาม ซึ่งกลยุทธ์การตลาดดังกล่าวก็บุกมาถึงวงการเพลงเมทัลด้วยเช่นกัน และมันได้เกิดขึ้นกับวง Korn เจ้าของฉายา “Godfather Of Nu Metal” นั่นเอง Korn นอกจากจะเป็นผู้เปิดประตูให้กับดนตรีแนวนูเมทัลให้ได้ออกมาเริงร่ากันแล้ว อีกทางหนึ่งพวกเขายังได้สร้างอิทธิพลให้กับเด็กวัยรุ่นในยุคนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว และภาพจำของแฟนเพลงทุกคนล้วนจะต้องมีแบรนด์กีฬาชื่อดังอย่าง Adidas ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของ Jonathan Davis ฟรอนต์แมนของวง จนกลายเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของเจ้าตัวไปเลย Jonathan Davis มักจะมาพร้อมกับชุดวอร์มคู่ใจ ที่ทั้งเสื้อ, กางเกง และรองเท้าสนีกเกอร์ ล้วนเป็นของ Adidas ตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกทั้งชุดที่เขาใส่ก็มีหลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีดำ, สีน้ำเงิน, สีม่วง หรือสีเขียว เป็นต้น ด้วยรูปร่างในช่วงนั้นของ Jonathan ที่ยังเพรียว ทำให้รูปทรงของชุดวอร์มรับเข้ากับสรีระเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าใส่แล้วดูเท่โคตร ๆ เอาเรื่องจริง ๆ การจะใส่ชุดวอร์มให้ดูคูลพูดตรง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากจะใส่เสื้อผ้าของ Adidas ในการโปรโมตตามสื่อต่าง ๆ หรือรูปที่ต้องใช้พีอาร์แล้ว Jonathan ยังใส่มันไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยเช่นกัน
ก่อนที่กระแสดนตรีฮิปฮอปและดนตรีป๊อปอีซีลีเซ็นนิงจะก้าวขึ้นมาครองชาร์ตวิทยุในบ้านเราเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน หากย้อนช่วงปี 2000’s มันเป็นช่วงที่ดนตรีร็อกครองตลาดบ้านเราอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่โดยเฉพาะฝั่งอโศกที่ผลิตศิลปินร็อกคุณภาพออกมามากมาย สำหรับในพาร์ตนี้ เราลองมาดูกันดีกว่าว่าในช่วงปี 2000-2005 มีผลงานอะไรในยุคนั้นที่ยังถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้บ้าง SILLY FOOLS “JUICY” (2002) หลังจากปรับทิศทางลดเพดานความหนักหน่วงลงนับตั้งแต่อัลบั้ม “I.Q.180” เส้นทางการเติบโตบนวงการดนตรีของ Silly Fools ก็ค่อย ๆ พุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงอัลบั้ม “Juicy” ที่เหมือนเป็นการตกผลึกประสบการณ์ตลอดทั้ง 3 อัลบั้มที่ผ่านมา มีการบาลานซ์ความหนักและความป๊อปได้อย่างลงตัว แถมผลงานเพลงในอัลบั้มนี้เรียกได้ว่าฮิตแทบทุกเพลง ไม่ว่าจะเป็น “บ้าบอ”, “หน้าไม่อาย”, “ผิดที่ไว้ใจ”, “ขี้หึง”, “แกล้ง”, “น้ำนิ่งไหลลึก” และ “วัดใจ” แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่เราก็ยังคงได้ยินผลงานเพลงจากชุดนี้อยู่เป็นประจำ PARADOX “SUMMER” (2000) วงร็อกที่มีโชว์สุดวาไรตี้ พวกเขาเติบโตมาจากยุคอัลเทอร์เนทีฟรุ่งเรือง ก่อนจะไต่เต้าเข้ามาสู่ชายคาค่ายใหญ่ย่านอโศก โดยมีผลงานเดบิวต์กับ genie records ที่มีชื่อว่า “Summer” Paradox
พออายุเข้า 28 แล้วเนี่ย เราพบว่าตัวเองเป็นคนอ่านการ์ตูนที่ชอบเสพมังงะ One-Shot (ตอนเดียวจบไม่มีภาคต่อ) แบบถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ แล้วเหตุผลก็ง่ายมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีเวลาอ่านการ์ตูนตอนยาว ตัวละครเยอะ เหตุการณ์ซับซ้อน และจำดีเทลได้ไม่หมดด้วย (คนแก่เว่อร์) แต่อีกส่วนสำคัญมันคือ ‘ความกลมกล่อม’ เราพบว่ามังงะ One-Shot ที่ดี มีพลังส่งต่อความรู้สึกได้เท่า ๆ กับมังงะที่ต้องใช้เวลาอ่านถึง 20 เล่มในการปูทางเพื่อจะอิมแพ็ค เรียกว่าน้อยแต่มาก ตอนเดียวน้ำตารื้นได้เลย และ Pen Pal At The End Of The World ที่กำลังจะแนะนำก็มีพลังถึงขนาดนั้นครับ Pen Pal At The End Of The World มังงะปี 2021 ผลงานเดบิวต์ของ Iwata Sekka ที่ทำร่วมกับ Matsuura Kento (ผู้วาด Phantom Seer) –
กิจกรรมในช่วงวันหยุดเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งส่วนมากต้องเจอกับคนปริมาณมหาศาลที่แห่กันไปเที่ยวจนทำให้วันหยุดของเราดูจะไม่น่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่ จนบางครั้งก็ทำให้เราหงุดหงิดจากปัญหารถติดที่ตามมาหลอกหลอนไม่แพ้วันทำงานเช่นกัน และเพื่อแก้ไขอาการเบื่อตอนรถติด Unlockmen เลยจัดเพลย์ลิสต์มันส์ ๆ จากวงร็อกนอกกระแสมาให้ทุกคนได้ฟังกันเพลิน ๆ ยามอยู่หลังพวงมาลัย HAREM BELLE “หมาป่าเดียวดาย (LONE WOLF)” Harem Belle วงดนตรีที่เติบโตมาจากยุคอีโม เป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากโปรเจกต์ Do It Or Die ซึ่งในปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงผลิตผลงานเพลงภายใต้สังกัด Vom Records อยู่ โดยล่าสุดพวกเขาเพิ่งมีซิงเกิ้ล “หมาป่าเดียวดาย (Lone Wolf)” ออกมาให้ฟัง ซึ่งมาสไตล์โพสต์ฮาร์ดคอร์อันดุดัน เป็นการกลับไปเล่นซาวด์หนัก ๆ แบบที่หลายคนคิดถึงอีกครั้ง นอกจากนั้นเนื้อหาของเพลงนี้ยังส่งต่อกำลังใจในวันที่ต้องเจอกับปัญหาหนัก ๆ ด้วย หากเราเชื่อมั่นในตัวเองสุดท้ายแล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ BOMB AT TRACK “ช่วงเปลี่ยนผ่าน (COMING OF AGE)” ผลงานเพลงส่งท้ายจากอัลบั้ม “Bomb The System” ของ Bomb
Zero To Hero เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ไนซ์ – ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” หรือ AKA : NICECNX แร็ปเปอร์หนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของซิงเกิ้ลฮิต “หลอก” ที่ปัจจุบันมียอดเข้าชม MV มากถึง 111 ล้านวิว แถมยังเคยผ่านเวที Show Me The Money มาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ NICECNX ยังถูกเรียกไปแจมกับศิลปินอีกหลาย ๆ คน เช่น มิว ศุภศิษฏ์, แกงส้ม, Lipta เป็นต้น แต่กว่าที่ NICECNX จะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับ เขาก็ต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างที่ค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายมาเป็นประสบการณ์ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต เรามาดูกันดีกว่าว่าชีวิตของ NICECNX พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนกันบ้าง เปลี่ยนจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ NICECNX อย่างที่เราเกริ่นไว้แล้วว่าเจ้าตัวคือเด็กเชียงใหม่ เขาเติบโตมาพร้อมกับความสนใจในเรื่องแฟชั่น และคลุกคลีกับซีนดนตรีที่หลากหลายทั้งร็อก, อินดี้ รวมไปถึงฮิปฮอปกับกลุ่ม 8GARAD ที่มีเพื่อนแร็ปเปอร์อย่าง