เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกไม่มั่นใจเวลาเจอกับสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นชิน หรือว่าคนใหม่ๆ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่าจะรับมืออย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น จึงรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา แต่พอเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เราก็จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้นตามมาเอง แต่สิ่งที่เรามองว่าไม่ปกติ คือ ความไม่มั่นใจที่มากเกินไป หรือ ความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เพราะภาวะแบบนี้ขัดขวางการใช้ชีวิตและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเรา UNLOCKMEN มองเห็นถึงผลเสียที่เกิดจากการไม่มีความมั่นใจ และอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอยากมีความสุข เลยอยากพูดถึงเรื่องพิษภัยของความไม่มั่นใจ พร้อมแนะนำ 5 วิธีที่ได้รับการรับรองจากวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้นได้ เป็นคนไม่มีความมั่นใจ ส่งผลเสียอะไรบ้าง ? ความมั่นใจในตัวเองต่ำ หรือ ความเคารพตัวเองต่ำ (low self-esteem) ทำให้เราคิดแย่ๆ กับตัวเอง โดยคนที่มีภาวะ low self-esteem มักต้องต่อสู้กับความรู้สึกด้านลบที่มีต่อพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกไร้ค่าไร้ความหมาย ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครรัก และไร้ความสามารถ แถม พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวมากเกินไป (hypersensitive) ต่อโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขาด้วย (อ้างอิงจากงานวิจัยของ Morris Rosenberg และ Timothy J. Owens) ซึ่งภาวะอ่อนไหวมากเกินไปนี้เองที่ส่งผลให้พวกเขาเป็นภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เพราะเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นมองว่าไม่มีอะไร พวกเขาอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจมากกว่าคนอื่น พวกเขายังไวต่อการพัฒนาความผิดปกติทางอารมณ์
คนมีคู่เคยเคยรู้สึกไหมว่า “ทำไมการอยู่กับแฟนทำให้รู้สึกไม่สบายใจจัง?” รู้สึกเหมือนเราต้องเอาอกเอาใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะทำตัวแย่แค่ไหน เราก็ต้องให้อภัยเขาอยู่เสมอ หากมีความรู้สึกประมาณนี้ อาจเป็นไปได้ว่า คุณกำลังติดนิสัย ‘codependency’ ซึ่งเป็นนิสัยแบบที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เดี๋ยว UNLOCKMEN จะอธิบายให้ทุกคนฟัง อะไร คือ ‘codependency’ ก่อนอื่นเราอยากพูดถึงความหมายก่อน codependency หมายถึง บุคลิกภาพแบบที่พึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการหรือคุณค่าของตัวเองมากเกินไป คนที่มีนิสัยแบบนี้มักจะตามใจคนอื่นมาก ถ้าเป็นในความสัมพันธ์แบบคู่รัก คือ คนที่มักตอบรับคำขอของอีกฝ่ายโดยไม่กล้าปฏิเสธ และมีความกังวลอย่างมากต่อการสูญเสียอีกฝ่าย codependency ยังมีอีกความหมาย คือ พฤติกรรมที่อนุญาตให้อีกฝ่ายมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ไม่รับผิดชอบ เสพติดสุรา ไม่ยอมทำงานทำการ เป็นต้น ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า codependency หมายถึง นิสัยที่ยอมอีกฝ่ายทุกอย่าง เนื่องจากโหยหาการยอมรับจากอีกฝ่ายอย่างหนัก และกังวลมากว่าอีกฝ่ายจะทอดทิ้งตนไปเมื่อขัดใจ ซึ่งเราอาจรับนิสัยนี้มาจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีปัญหา (dysfunctional family) หรือ พ่อแม่ป่วยไข้ ซึ่งงานวิจัยระบุว่า มนุษย์เรียนรู้นิสัย codependency ผ่านการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมสมาชิกในครอบครัว กล่าวคือ ถ้าเราอยู่ในครอบครัวที่เคร่งเรื่องระเบียบในบ้าน
สิ่งที่ทำร้ายเราได้ ไม่ได้มีแค่ คนเลว สัตว์ร้าย หรือ อุบัติเหตุบนท้องถนน แต่จิตใจของเราเองก็สามารถทำร้ายเราได้เช่นกัน และว่ากันว่า จิตใจเราเองนี่แหละที่ทำร้ายเราได้อย่างเจ็บแสบมากที่สุด!!! ฟรีดริช นิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยกล่าวในงานเขียนของตัวเอง “Thus Spoke Zarathustra” ว่า “ศัตรูที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอมามักเป็นตัวคุณเสมอ” (the worst enemy you can meet will always be yourself) ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะในทางจิตวิทยามีสิ่งที่เรียกว่า ‘การทำร้ายตัวเองทางอารมณ์’ (emotional self-harm) ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเราได้ไม่ต่างจากการทำร้ายตัวเอง แต่ร้ายแรงกว่า เพราะ บางคนอาจกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ตัว! วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาเตือนทุกคนถึงภัยของ emotional self-harm โดยการบอกเล่า 5 อาการทางจิตที่เป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมแนะนำวิธีการป้องกัน และละเลิกนิสัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า!! วิจารณ์ตนเอง (self-criticism) แม้การวิจารณ์ตนเองจะช่วยให้เราได้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ถ้าเราวิจารณ์ตัวเองในระดับที่รุนแรงมากเกินไป
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาคนอื่นรู้สึกเครียด เราถึงรู้สึกเครียดไปด้วย? ทั้งๆ ที่บางครั้งเรื่องที่คนอื่นเครียดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา เช่น เวลาเราเห็นเจ้านายกำลังทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เราถึงได้รู้สึกเครียดตามเจ้านายไปด้วย เรื่องนี้อาจอธิบายได้จาก ธรรมชาติของมนุษย์มี่ชอบปรับตัวให้เข้ากับคนในสังคม โดยหนึ่งในวิธีการปรับตัวของมนุษย์ คือ การเรียนรู้พฤติกรรมของคนอื่นผ่านการเลียนแบบ และทำให้เกิดปรากฎการณ์การส่งต่ออารมณ์ไปยังผู้อื่น หรือที่เรียกว่า ‘Emotional contagion’ ต่อไป ในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากเล่าให้ทุกคนฟังว่า Emotional contagion เกิดขึ้นได้อย่างไร และเราจะป้องกันการติดอารมณ์ด้านลบจากคนอื่นได้อย่างไรบ้าง Emotional contagion คืออะไร ? การติดต่อทางอารมณ์ (Emotional contagion) คือ สถานการณ์ที่อารมณ์หรือพฤติกรรมของคนหรือกลุ่มเป็นตัวกระตุ้นให้คนอื่นเกิดอารมณ์และแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น การเลียนแบบท่าทาง การแสดงออก การเคลื่อนไหว ซึ่งการส่งต่อพฤติกรรมและอารมณ์แบบนี้ อาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะงานวิจัยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า คนเรามักจะจับอารมณ์ของคนอื่นได้บ่อยๆ การส่งต่ออารมณ์จึงเกิดขึ้นได่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งต่ออารมณ์ด้านลบหนักหน่วงที่มีการแสดงออกมาอย่างชัดเจน จะง่ายกว่าการส่งต่ออารมณ์อื่นๆ กล่าวคือ ถ้าเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานของคุณเครียดหนีอย่างเห็นได้ชัด มันก็มีโอกาสสูงที่คุณจะเครียดตามหัวหน้าได้นั่นเอง การทำงานของ Emotional contagion มักเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เริ่มจาก
ความรักสำหรับบางคน คงเปรียบเหมือนดาบสองคม ตอนคบกันอยู่มีความสุขกันเหลือเกิน แต่พอเลิกกันกลับเจ็บปวดรวดร้าว จะเป็น จะตาย! บางเคสอาจเจอการนอกใจ โกหก หรือ หลอกลวง และประสบการณ์เหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นบาดแผลในใจ จนทำให้พวกเขาไม่กล้าไว้วางใจที่จะมีความสัมพันธ์กับใครอีก และเป็นโรคทางจิตเวชที่ชื่อว่า โรคกลัวการไว้ใจผู้อื่น (pistanthrophobia) วันนี้ UNLOCKMEN อยากเล่าให้ฟังว่าโรคนี้มีที่มาอย่างไร ร้ายแรงแค่ไหน และ จะป้องกันเยียวยามันได้อย่างไรบ้าง Pistanthrophobia เกิดขึ้นได้อย่างไร ? โรคกลัวการไว้ใจผู้อื่น (pistanthrophobia) เป็นโรคที่กลัวความเจ็บปวดจากการไว้วางใจคนอื่นมากเกินไป (โดยเฉพาะคนรัก) ซึ่งเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์การถูกหักหลังในความรักครั้งก่อน เช่น โดนนอกใจ หรือ หลอกลวง เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยจะเกิดเป็นความวิตกกังวลเวลาจะมีความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เพราะไม่กล้าไว้วางใจใคร และกลัวว่าเหตุการณ์แบบเดิมจะเกิดขึ้นซ้ำอีก และทำให้พวกเขาไม่สามารถมีความรักครั้งใหม่ได้ สำหรับอาการของที่คนเป็นโรค pistanthrophobia จะมีทั้ง อยากหลีกหนีจากเหตุการณ์ ผู้คน หรือ วัตถุ ที่ทำให้เกิดความกลัว, หายใจไม่ทั่วท้อง, หัวใจเต้นรั่ว และตัวสั่น ในสถานการณ์ทางสังคม พวกเขามักหลีกเลี่ยงการสนทนา หรือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนที่อาจเป็นคู่รักของเขาในอนาคต
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคบอกเลิกยอดฮิต “เธอดีเกินไป เราเลิกกันเถอะ” ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยว่า การเป็นคนดีจะทำให้เราล้มเหลวในความสัมพันธ์จริงหรือไม่ ในเมื่อความดีเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับมากกว่าความเลว แถมเรายิ่งจะปวดหัวมากขึ้นมากไปอีก เมื่อรู้ว่า ผู้หญิงชอบผู้ชายเลว (Bad boys) มากกว่า ผู้ชายดี (Nice guys) มันเป็นไปได้ยังไง ยิ่งคิด ยิ่งปวดหัว! บทความนี้ UNLOCKMEN อยากจะมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ ผู้ชายเลวต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ? เวลาพวกเราพูดถึงผู้ชายเลว แต่ละคนอาจมีนิยามไม่เหมือนกัน บางคนอาจมองว่าผู้ชายเลวคือคนที่เห็นแก่ตัว บางคนอาจมองว่าผู้ชายเลวคือคนที่ไม่ยอมทำตามสิ่งที่เราต้องการ ฯลฯ ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความเลวตรงกัน เราเลยอยากขอยกหลักคำสอนของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคเรื่อง ‘บาป 7 ประการ’ มาเป็นแนวทางในการนิยามความเลวของผู้ชาย ซึ่งบาป 7 ประการนี้ จะประกอบไปด้วย พฤติกรรม 7 อย่างที่สะท้อนความเห็นแก่ตัวที่มากเกินไปของมนุษย์ อันได้แก่ ราคะ (lust) คือ หมกหมุ่นในเรื่องเพศมากเกินไป จนทำให้เกิดพฤติกรรมที่ทำร้ายคนอื่น เช่น การข่มขืน การคบชู้ ตะกละ (gluttony) คือ ตอบสนองต่อความต้องการของตัวเองมากเกินไปโดยไม่คิดถึงผู้ถึงผู้อื่น
เคยรู้สึกเบื่องานกันบ้างไหม? รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ช่างไม่มีความสุขเอาซะเลย? หลายคนน่าจะเคย และรู้สึกว่า ความน่าเบื่อ (boredom) เป็นพิษภัยต่อการทำงานอย่างมาก เพราะมันทำให้ ‘ซัฟเฟอร์’ กับการทำงาน ทำให้รู้สึกว่าต้องอดทนทำงานไปวันๆ ไม่มีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำอยู่เลย ผลร้ายที่สุด คือ ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ และท้ายที่สุดก็อาจลาออกจากงาน แต่ไม่ว่าความน่าเบื่อจะเป็นพิษกับเรามากแค่ไหน เราก็อาจจะขาดความเบื่อไม่ได้! เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการและไม่หยุดนิ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปเข้าใจอาการเบื่อ และแนะนำวิธีการป้องกันและหลีกเลี่ยงผลเสียจากมัน เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในชีวิตการทำงาน หลายคนพอได้ยินคำว่า “น่าเบื่อ” จากอารมณ์ดีอยู่ๆ ก็อาจหม่นหมองได้ เพราะทำให้นึกถึงอะไรลบๆ หลายอย่าง แต่อย่าเพิ่งดาวน์นะ! ทำใจให้สบายๆ แล้วมาฟังเราอธิบายเรื่องความเบื่อเสียก่อน ไม่แน่ว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ คุณอาจเปลี่ยนมุมมองต่อความน่าเบื่อก็เป็นได้! ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เราเห็นว่า ความน่าเบื่อมีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราคงไม่ออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นในเรื่องงาน ความเบื่อจะเตือนเราว่า งานที่เราทำอยู่อาจไม่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายในการทำงานของตัวเอง (เช่น มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อรถยนต์ภายใน 2 ปี หรือ ไต่เต้าขึ้นไปทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ได้ เป็นต้น
ตอนนี้หลายคนอาจกำลังเป็น “Passive Employee” คือเป็นพนักงานบริษัทที่ทำงานไปวันๆ และไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ ในหน้าที่การงาน ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นได้จากภาวะผู้นำในองค์กรที่ไม่ดี ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อเราได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีความสุขในการทำงาน หรือ คุณภาพของงานที่ทำตกต่ำ ซึ่งเราเห็นว่าการอยู่ในสถานะของผู้นำจะช่วยทุกคนแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะอธิบายต่อไป การเป็นผู้นำจะทำให้เรามีความสุขในการทำงาน คนที่พยายามเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เสนอไอเดียใหม่ๆ หรือ ผู้ดูแลโปรเจคใหญ่ของบริษัทหรือองค์กร แสดงให้เห็นว่ามีความทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่จะทำให้พวกเขาเติบโตและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นอกจากนี้คนที่มีความทะเยอะทะยานจะมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานด้วย ซึ่งงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบคนสองกลุ่ม ได้แก่ 1.คนที่ตั้งเป้าหมายแบบทะเยอทะยาน (ambitious goals) และ 2.คนที่ตั้งเป้าหมายแบบเซฟตัวเอง (conservative goals) และพบว่า คนที่ตั้งเป้าแบบทะเยอทะยานจะมีความสุขในระยะยาวมากกว่าคนอีกกลุ่ม งานวิจัยชิ้นนี้ทำการทดลอง 2 ครั้ง โดย ครั้งแรกจะให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเล่นเกมเลือกหุ้น (stock-picking) และการทดลองครั้งสุดท้ายจะให้ผู้เข้าร่วมการทดลองแก้ไขปริศนา (puzzles) ในการทดลองแรก ผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 134 ราย จะต้องกำหนดอัตราผลตอบแทน (target rate of
หากจะให้พูดถึงสนามแข่งที่โหดและหินที่สุด ในการแข่งขันประชันความเร็ว เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักขับที่สามารถพิชิตสภาวะแวดล้อมสุดอันตรายได้นั้น ทุกคนจะนึกการแข่งขันแบบไหนกันบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น จะต้องเป็นกีฬารถแข่งที่จะทำให้คุณหัวใจเต้นแรงและตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งกีฬาที่เราหมายถึงก็คือ การแข่งรถทางฝุ่น หรือ การแข่งขันแรลลี่ (Rally) นั่นเอง โดยกีฬาประเภทนี้นับเป็นการแข่งรถที่ “โคตร” จะเร้าใจ ไม่ต่างกับดูหนังแอคชันเลย ด้วยสนามแข่งที่ขรุขระ เต็มไปด้วยอุปสรรคที่คาดเดาไม่ได้มากมาย ทุกการวิ่งคือสภาพพื้นฝุ่นและเศษหินที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอ การเพ่งสมาธิไปข้างหน้าพร้อมฟังเพื่อนร่วมทีมบอกองศาการเลี้ยวอีกสามสี่โค้งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการแข่งรถอย่างมาก และทั้งหมดที่ว่าไปนั้น เป็น “เสน่ห์” ที่ทำให้การแข่งรถแรลลี่เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก โดยมียอดผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศที่ดูผ่านหน้าจอมากกว่า 700 ล้านคนเลยทีเดียว! ซึ่งกว่าจะผ่านไปสู่ลีกสูงสุด ต้องผ่านการคัดเลือกเพื่อไปสู่ WRC-3, WRC-2 และ WRC ซึ่งเส้นทางกว่าจะไปถึงนั้น ยากลำบากไม่แพ้พื้นถนนฝุ่นที่ด้านข้างคือหน้าผาและร่องหลุมสารพัด การเสียสมาธิแม้เพียงเสี้ยววินาทีบนสนาม Rally อาจหมายถึงความเป็นความตายได้ แต่น่าแปลกว่าทำไม การแข่งขันแรลลี่ที่น่าตื่นเต้นนี้กลับไม่เป็นที่พูดถึงมากนักในประเทศไทย หรือถ้ามี ก็อยู่ในกลุ่มคนหมู่น้อยมาก ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอันตรายที่ทำให้นักขับไทยมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันความเร็วทางเรียบ และเพราะความนิยมที่น้อยนิดนี้เอง ทำให้คนไทยหลายคนต้องพลาดโอกาสในการก้าวไปสู่ระดับโลก เพียงเพราะไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนพวกเขา ทั้งที่การแข่งขันระดับโลกแบบนี้ สามารถทำชื่อเสียงและดึงเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล
เราควรตัดสินใจด้วยอารมณ์ไหม? . . คำถามนี้หลายคนพยายามหาคำตอบกันมาตั้งแต่อดีต และปัจจุบัน เริ่มมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นว่า การตัดสินใจด้วยเหตุผลอย่างเดียวอาจไม่เวิร์ก… ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น UNLOCKMEN จะอธิบายให้ฟัง ความเป็นเหตุผลเป็นผลทำให้เราสามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อยู่บนฐานของความเป็นจริงมากที่สุด เช่น หลักฐานหรือข้อมูล หลายคนจึงพยายามข่มอารมณ์ เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อย่างที่คิดว่าควรจะเป็น แต่ที่จริงอารมณ์ก็ช่วยให้ความสามารถในการตัดสินใจของเราเพิ่มขึ้นได้เหมือนกันนะ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรับรองทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ความสุข (ช่วยให้เราเห็นตัวเลือกในการตัดสินใจที่มากขึ้น และทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น) หรือความกลัว (ทำให้เราตัดสินใจได้อย่างระมัดระวังมากขึ้น) นอกจากนี้ อารมณ์ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าระวังความผิดปกติด้วย ซึ่งจะทำให้เรารับรู้ปัญหาและแก้ไขได้ตรงจุด เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ขอยกตัวอย่างสถานการณ์หนึ่ง เป็นการนำเสนอโปรเจกต์ของคนอื่นที่เราต้องนำไปต่อยอด และเราในฐานะผู้ชี้เป็นชี้ตายโปรเจคนั้น ขณะฟังและคิดตาม อยู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดแบบไม่ทราบสาเหตุ นั่นคืออารมณ์กำลังเตือนเราว่ากำลังมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องหาที่มาและวิธีการแก้ไข อาจเริ่มจากการตั้งคำถาม เช่น เรามีอคติกับคนพูดหรือเปล่า? หรือ การบรรยายโปรเจกต์นั้นมีข้อผิดพลาดอะไรรึเปล่า? เมื่อเราเข้าใจ เราก็จะตัดสินใจเกี่ยวกับโปรเจกต์นั้นได้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เช่น ถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีอคติกับคนพูด เราก็อาจจะถามความเห็นจากคนอื่นเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นั้นมากขึ้น หรือ ถ้ารู้ว่าโปรเจ็กต์นั้นมีข้อผิดพลาด ก็อาจจะยังไม่ลงมือทำ แต่พยายามคิดหาทางแก้ไข หรือ
เซ็กซ์เป็นกิจกรรมที่สร้างสุนทรียภาพให้ชีวิตมนุษย์อย่างหนึ่ง การที่เราสามารถเข้าถึงเซ็กซ์ที่ปลอดภัย แถมรื่นรมย์จึงถือเป็นความสุขง่าย ๆ อย่างหนึ่งของชีวิต แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายก็โหยอยากต้องการกิจกรรมชวนระทวย ทว่าอวัยวะแกนกลางดันไม่เป็นใจ เมื่อนั้นเองที่ความทรมานทรกรรมทั้งใจทั้งกายเริ่มมาเยือน Erectile Dysfunction (ED) หรือการที่น้องชายไม่แข็งตัว จึงเป็นสภาวะแสนกระอักกระอ่วนที่ผู้ชายคนไหนก็ไม่อยากเผชิญ นกเขาไม่ขัน ไม่ใช่แค่สูงวัย แต่อ่อนวัยก็เกิดขึ้นได้ ส่วนมากเรามักเข้าใจว่า Erectile Dysfunction (ED) หรือนกเขาไม่ขันนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายอายุมากขึ้น ๆ เท่านั้น แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับพบว่าไม่ได้มีแค่ชายสูงอายุเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับการไม่แข็งตัว โดยผลสำรวจหลายชิ้นระบุไปในทิศทางเดียวกันว่าแม้แต่คนอายุน้อย ๆ หลัก 20 ต้น ๆ ก็ประสบปัญหานี้แล้ว! ผลสำรวจชิ้นหนึ่งมาจากบริษัทยาไวอากร้า ปกติตลาดหลักที่พวกเขาจำหน่ายยาให้คือชายสูงวัย แต่การสำรวจทางการตลาดล่าสุดพบว่าชายหนุ่มราว 14%-35% ก็เผชิญภาวะนกเขาไม่แข็งด้วยเช่นกัน ในขณะที่ Mary Sharpe จากองค์กรการกุศลด้านการศึกษาเรื่องความรัก เพศและอินเทอร์เน็ตกล่าวว่านับตั้งแต่ปี 2002 มานี้ผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 40 เผชิญกับอาการนกเขาไม่ขัน 2-3% กระทั่งช่วงปีที่หนังโป๊ออนไลน์เริ่มแพร่หลายมากขึ้น และเราสามารถหาดูหนังโป๊แบบสตรีมมิงได้ง่ายขึ้น จำนวนผู้ชายอายุน้อยที่มีภาวะนกเขาไม่ขันก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงงานวิจัยที่หลายฝ่ายฮือฮาเมื่อปี 2016 ที่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นทหารสหรัฐฯ ซึ่งออกมารายงานว่าทหารสหรัฐฯ นั้นมีภาวะอวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ และเมื่อสำรวจแล้วก็พบว่าสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งคือการเสพหนังผู้ใหญ่ในปริมาณที่ล้นเกิน นั่นเป็นที่มาของ Porn-Induced
ความรัก ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่ความหอมหวานราบรื่น ถึงตอนจีบกันใหม่ ๆ ดูจะใช่ไปหมด น่ารักไปทุกสิ่ง แต่ทันทีที่มนุษย์สองคนต้องใช้ชีวิตร่วมกัน (โดยเฉพาะเมื่อต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน) ความน่ารักโรมแมนติกสวยหรูที่เคยฉาบไว้ตอนต้น ก็จะค่อย ๆ หลุดร่อนเผยให้เห็นแก่นแห่งความสัมพันธ์ บางเรื่องก็ยังน่าหลงใหล แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ชวนให้เบือนหน้าหนี จึงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไป หลายคู่เข้ากันได้ดีกว่าเดิม แต่อีกหลายคู่ที่ไปกันไม่รอด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคู่ก็เห็นทะเลาะกันแสนจะบ่อย มีเรื่องให้ต้องถกเถียงกันก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เลิกกันสักที? แถมบางหนคู่ที่ดูทะเลาะ ๆ กันนี่แหละดันคบกันยาวยิ่งกว่าคู่ที่ดูราบรื่นเสียอีก? ผลสำรวจชิ้นหนึ่งระบุว่าคู่ที่ทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพมีแนวโน้มที่จะมีความสุขกับความสัมพันธ์มากกว่าคู่รักที่ไม่ทะเลาะกัน 10 เท่า! ถ้าอ่านเผิน ๆ คงรู้สึกว่าจะเป็นไปได้ไง? คนทะเลาะกันก็ต้องแปลว่ามีเรื่องคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีอะไรขัดแย้งกันสิ มันจะมีความสุขกว่าหรือคบกันนานกว่าได้ด้วยเหรอ? แต่การทะเลาะกันอาจไม่ได้เป็นแบบที่เราเข้าใจเสมอไป การเติบโตมาในสังคมที่ทำให้เข้าใจว่าความขัดแย้งหรือการคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องไม่สงบ แต่จริง ๆ แล้วการที่เรารู้สึกไม่พอใจแล้วเลือกบอกอย่างตรงไปตรงมา หรือคิดเห็นไม่ตรงกันแล้วเลือกแลกเปลี่ยนกันให้ชัดเจนนั้น ถือเป็นการทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพที่จะทำให้เราเข้าใจกันได้มากขึ้น ในขณะที่การเงียบ นิ่งเฉย ไม่เคยทะเลาะกันเลย (ถ้าเป็นไปเพราะเข้ากันได้ทุกเรื่องก็นับเป็นกรณีหนึ่ง) แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาสารพัด เรื่องไม่พอใจหลาย ๆ แบบ แล้วเลือกซุกซ่อนปัญหานั้นไว้ใต้พรม สักวันหนึ่งความไม่พอใจเล็ก ๆ เหล่านั้นก็จะสะสมจนเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป คู่รักหลาย ๆ