เห็นหัวข้อแบบนี้ คนที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือจริงจังกับการออกกำลังกายมากนักคงจะงงว่า “แค่กินหรือไม่กินก่อนออกกำลังกายมันจะอะไรนักหนา” แต่เราบอกเลยว่าถ้าใครได้ลองเข้ายิมจริงจังหรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ คำถามนี้คือคำถามแรก ๆ ที่พวกเขาสงสัยกัน เหตุผลง่าย ๆ คือ หลายคนกลัวว่าถ้าไม่กินก็กลัวว่าจะออกกำลังกายได้ไม่นาน ไม่อึด ไม่มีแรง หรือตอนกินข้าวตามหลังออกกำลังกายเสร็จอาจจะโหมหนักกว่าจนน้ำหนักพุ่งพรวด ไอ้ที่พยายามรักษามาออกแรงแทบตายอาจจะไม่มีผล ขณะที่ฝั่งที่กิน ก็กังวลว่ามันจะจุกไหม หรือต้องกินอะไรดีถึงจะเหมาะสม และเพราะเรื่องนี้ “เรื่องกินกับออกกำลังกาย” จึงยังเป็นคำถามระดับชาติของคนออกกำลังกายที่ UNLOCKMEN ไปหาข้อมูลมาไขปริศนาจากผลวิจัย งานวิจัยระดับยีน ผู้ทดลองระดับน้ำหนักเกิน ผลการศึกษาใหม่ของนักวิทยาศาสตร์สุขภาพจาก the Universities of Bath and Birmingham ที่ตีพิมพ์ในวารสาร the Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism เป็นงานวิจัยที่ประเมินผลผลกระทบเฉียบพลันและถาวรด้านการใช้ไขมันและกล้ามเนื้อของร่างกายเมื่อออกกำลังกายและการเผาผลาญของกลูโคสช่วงกลางวัน เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังรับสารอาหาร โดยวัดจากปฏิกิริยาของยีนในเนื้อเยื่อไขมันที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกาย 30 คนกับ 6 สัปดาห์แห่งการพิสูจน์ความจริง รูปแบบการวิจัย เริ่มด้วยการนำผู้ชายทั้งหมดที่มีโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน 30 คน มาแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่มเพื่อทำกิจกรรมที่แตกต่างกัน จากนั้นเปรียบเทียบผลการทดลองและสรุปผล
วินาทีแรกที่เรารู้ว่าเราจะได้อยู่บ้านมากขึ้น ทำงานจากที่บ้านบ่อยขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปเบียดเสียดใครที่ไหน เราอาจลิงโลดดีใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม แล้วต้องอยู่บ้านนานเข้า ๆ ก็เชื่อว่าใครหลายคนเหี่ยวเฉาร่วงโรย นอกจากร่างกายที่เราต้องคอยดูแลให้แข็งแรงแล้ว การอยู่บ้านนาน ๆ และต้องรับข่าวรอบตัวอย่างหนักอาจทำให้สุขภาพจิตหลายคนทำท่าจะแย่ตามไปด้วย เราแวะเอากำลังใจและความรู้ดี ๆ จาก Ted Talk มาฝาก ฟังไปด้วยกัน สู้ไปด้วยกัน และผ่านมันไปด้วยกัน Why we all need to practice emotional first aid ในห้วงสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด 19 ยังน่าเป็นห่วงเราต่างพยายามดูแลร่างกายของเราออย่างสุดความสามารถ (ซึ่งถูกต้องแล้ว) แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ร่างกายก็คือสภาพจิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเรามั่นใจว่า Ted Talk นี้จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมการดูสุขภาพจิตถึงสำคัญไม่แพ้สุขภาพร่างกาย Ted Talk นี้ว่าด้วยการตั้งคำถามว่าทำไม “สุขภาพใจ” ของเราถึงไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าไรนัก? โดย Guy Winch ผนักจิตวิทยาเขาลองยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าเราสอนให้เด็ก 2
ในขณะที่เรานั่งทำงานไปตามปกติ มีคนร่วมประเทศจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเลือกจบชีวิตของตัวเอง บางคนบอกว่าพวกเขาอ่อนแอ หลายคนมองว่าคนพวกนี้ไม่ได้สู้จนถึงที่สุด คำพูดและความคิดเหล่าทำให้ UNLOCKMEN เกิดคำถามว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือว่ามีเหตุผลอื่น ๆ อีกที่ทำให้คนไทยบางคนที่สู้จนสุดตัวแล้วแต่ก็ยังแพ้อยู่ดี? สำนักข่าวญี่ปุ่น Nikkei Asian Review วิเคราะห์ถึงเศรษฐกิจไทยว่าระบบกำลังใกล้ตายทีละน้อย โดยการวิเคราะห์ครั้งนี้ไม่ได้พูดขึ้นลอย ๆ แต่วัดจากกราฟของธนาคารโลก การแถลงของ WHO ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ไทยที่ทำให้เราสามารถเห็นสภาพเศรษฐกิจหลังการปฏิวัติได้ชัดเจน จนพบกับผลลัพธ์อันน่าเศร้าว่าคนไทยยากจนเยอะขึ้นจริง หลังจากทหารเข้ามายุ่งกับการเมืองไทย พวกเขาเล่าเรื่องได้น่าสนใจด้วยการเกริ่นว่า เดือนมีนาคมในจังหวัดนครปฐมมีพระสงฆ์สี่รูปกำลังสวดในงานศพของชายคนหนึ่ง เขาคนนั้นเป็นชายวัย 32 ปี ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างและเลือกจบชีวิตภายในบ้านของตัวเอง น้องชายของผู้เสียชีวิตนามว่า ‘วีระพงษ์’ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายเขาถึงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ก่อนหน้านี้พี่ชายไม่เคยแสดงออกว่าเศร้าโศกใด ๆ แต่มีปัญหาชีวิตอยู่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องธุรกิจก่อสร้างอาคารที่กำลังทรุดหนัก ทีม Nikkei Asian Review เห็นข่าวของพี่ชายนายวีระพงษ์ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยรายใหญ่ของประเทศระบุว่าชายคนนี้ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะหนี้ก้อนใหญ่ และในวันต่อ ๆ ไป เราก็เห็นข่าวคนไทยฆ่าตัวตายอยู่เสมอ ชวนให้สงสัยว่า ทั้งที่ประเทศไทยถือเป็นเมืองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะอะไรอัตราการฆ่าตัวตายของชาวไทยถึงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ? ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน อัตราส่วนจำนวนคนจนในประเทศลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 (พ.ศ.2549) ลดไปถึง 25%
ยังไม่ทันพ้นช่วงต้นของปี โลกใบนี้ก็ดูจะใจร้ายกับเราถึงขีดสุด ไฟป่าครั้งใหญ่ในดินแดนจิงโจ้ เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา วิกฤติไวรัสที่ทำอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วทั้งโลก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานการณ์ไกลตัวเพราะมันค่อย ๆ กัดกร่อนลุกลามมาถึงธุรกิจของใครบางคนที่กำลังไปได้สวย คนที่เรารักที่อาจต้องเผชิญวิกฤตหนัก โอกาสทางหน้าที่การงานของใครสักคนที่กำลังสว่างไสว แต่ทั้งหมดที่ดูจะแบ่งบานก็คล้ายจะร่วงโรยลงตรงหน้า ตอนยังเด็ก เมื่อเจอเรื่องเสียใจ เราคงแค่วิ่งเข้าบ้าน ร้องไห้ตัวโยนขอกอดโอบอุ่นจากแม่ให้หายตกใจ ขอให้พ่อพาขี่หลังตระเวนเที่ยวจนกว่าจะหายเศร้า หรือขอขนมจากเพื่อน รวมถึงการวิ่งเล่นลืมโลกจนเรื่องทุกข์ร้อนใดก็ไร้ความหมาย แต่เพราะตอนนี้เราไม่ใช่เด็ก ๆ “โตแล้วต้องดูแลตัวเองให้ได้” UNLOCKMEN จึงอาสาส่งกอดแบบผู้ใหญ่ ๆ ให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันด้วย “5 หนังสือปลอบใจในวันที่เป็นผู้ใหญ่แต่โลกทั้งใบร้ายกับเราเหลือเกิน” หนังสือ 5 เล่มนี้คงไม่ได้ช่วยเราสะสางทุกปมปัญหาได้ทันทีทันใด แต่มันมีความหมายในแง่การค่อย ๆ ชะโลมไออุ่น ๆ ให้เรามองเห็นโลกในอีกแบบ เข้าใจความทุกข์ในอีกทาง และเห็นความสุขในอีกมุม วะบิ-ซะบิ Wabi-Sabi Leonard Koren คุณมองความไม่สมบูรณ์แบบด้วยสายตาแบบไหน? ทุกครั้งที่เจอรอยบูดเบี้ยวของชีวิตคุณรู้สึกเช่นไร? มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่มองชีวิตเป็นประติมากรรมชิ้นเอก ไร้ร่องรอยแตกหัก สมบูรณ์ทุกกระเบียดดังใจ และเมื่อความไม่สมบูรณ์แบบมาเยือนจึงเจ็บปวดแหลกสลาย ราวกับทั้งชีวิตจะไม่มีอะไรดีหลงเหลืออยู่เลย “วะบิ-ซะบิ (Wabi-Sabi 侘寂)” คือปรัชญาจากแดนปลาดิบที่บอกเราให้โอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบ อยู่กับรอยแผลในชีวิต
หลังจากครั้งที่แล้วที่เราทำคอนเทนต์บอกวิธีทิ้งหน้ากากอนามัยใช้แล้วทิ้งให้ถูกวิธีไปคราวที่แล้ว ครั้งนี้ก็เป็นอีกปัญหาที่ UNLOCKMEN สงสัยอย่างเรื่องการป้องกันโรคด้วยการทำความสะอาดบ้าน เพราะหน้ากากอนามัยอาจจะใช้แล้วทิ้ง แต่พวกข้าวของที่ออกไปนอกบ้านพร้อมกับเราล่ะ ใช้แล้วจะทำอย่างไร แปลว่าต่อให้เราคิดว่าในบ้านเรามันปลอดเชื้อแค่ไหนเพราะไม่มีสมาชิกคนไหนติดเชื้อ แต่สุดท้ายโอกาสที่เราหรือคนอื่น ๆ จะนำไวรัสกลับมาอยู่ที่บ้านก็ยังมีอยู่ดี บ้านที่น่าจะปลอดภัยจึงอาจกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดได้หากไม่หมั่นทำความสะอาด แต่เอาเป็นว่าก่อนจะไปกำจัดมัน ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจมันก่อน COVID-19 ปัจจุบัน เชื้อที่แค่ถูกน้ำสบู่ก็ตายแล้ว ? แม้จะสามารถติดเชื้อระหว่างบุคคลได้ง่าย ทำให้ระบาดจนกลายเป็นเชื้อไวรัสที่หลายประเทศจับตาเฝ้าระวัง แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องรู้คือ มันแพร่ง่ายมันก็ตายง่ายด้วยเช่นกัน เพราะตามข้อมูลที่แพทย์และกระทรวงสาธารณสุขเผยตรงกันคือเราสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ด้วย “น้ำสบู่” วัสดุราคาถูกที่อยู่ใกล้มือ หน้ากากอนามัยหนึ่งชิ้นอาจจะแพงกว่าสบู่ก้อนเดียวที่เราใช้ได้หลายครั้งเสียอีก ความจริงเรื่องนี้มาจากเหตุผลที่ ดร.วีระพงษ์ ประสงค์จีน อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของเพจ ดร. แกง อธิบายไว้สรุปการฆ่าเชื้อด้วยน้ำสบู่ดังนี้ ไวรัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิต อยู่ลำพังไม่ได้ แต่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิต (Host) เป็นตัวจับเพื่อผลิตชิ้นส่วนชีวิต การเพิ่มจำนวน และเดินทางออกจากเซลล์พักพิงไปสำรวจเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่นๆ ตัวไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้เป็นไวรัสประเภทมีเยื่อหุ้ม (Envelope) และเยื่อหุ้มของมันประกอบด้วยสารไขมันและโปรตีนเป็นส่วนประกอบเลยยิ่งง่ายต่อการถูกทำลายเมื่อเจอน้ำสบู่ ทั้งหมดเกิดจากโมเลกุลสบู่มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือส่วนหัวกับส่วนหาง ส่วนหัวชอบน้ำแต่ส่วนหางไม่ชอบน้ำ ดังนั้นเวลาล้างมือส่วนหางของโมเลกุลที่ไม่ชอบน้ำจึงไปจับไขมันในเยื่อหุ้มไวรัส จากนั้นเมื่อไขมันโดนแย่งออกจากเยื่อหุ้มไวรัส เยื่อหุ้มก็โดนทำลาย ทำให้ไวรัสอยู่ไม่ได้จึงต้องตายไปในที่สุด แล้วเราต้องล้างมือด้วยสบู่กี่รอบต่อวัน ?
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ดูเหมือนจะขยายวงกว้างและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกสูงถึง 114,000 คนและเสียชีวิตแล้วกว่า 4,000 คน ส่วนในประเทศไทยก็มียอดสะสม 70 คนและเสียชีวิตอีก 1 คน ทั้งหมดส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งระยะสั้นและระยะยาว (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2563) อีกผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดครั้งนี้คือ การเลื่อนหรือยกเลิกอีเวนต์ ซึ่งรวมคนจำนวนมากไว้ด้วยกัน ทั้งงานคอนเสิร์ตและการแข่งขันกีฬา ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วการ”ออกกำลังในโรงยิมร่วมกับผู้อื่น”จะมีความเสี่ยงในการติดไวรัสมากน้อยแค่ไหนและจะต้องมีวิธีการจัดการตัวเองยังไง วันนี้มาทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อมกัน ออกกำลังกายในโรงยิมเสี่ยงติดไวรัสหรือไม่ ? โรงยิมหรือฟิตเนสเป็นสถานที่เสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 หรือไม่ ? คำตอบที่ได้จาก Aruna Subramanian ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อและศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จากมหาลัยแสตนฟอร์ด และ John Whyte หัวหน้าทีมแพทย์จาก WebMD แสดงความคิดในเรื่องนี้ว่า โรงยิมเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงในระดับเดียวกันสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ซึ่งทุกคนสามารถป้องกันตัวจากไวรัสได้หากทำได้อย่างถูกวิธี ขณะเดียวกันโรงยิมส่วนใหญ่มักเป็นสถานที่ปิดซึ่งเสี่ยงต่อการกักตุนของเชื้อโรคในอากาศ รวมถึงอุปกรณ์ออกกำลังต่าง ๆ ที่มีการใช้งานร่วมกัน ก่อนหน้านี้มีข้อมูลที่น่าสนใจว่าลู่วิ่งไฟฟ้ามีการสะสมของเชื้อแบคทีเรียมากกว่าก๊อกน้ำถึง 74 เท่าและอุปกรณ์ยกน้ำหนักมีแบคทีเรียมากกว่าโถส้วมถึง 362
“รู้เท่าไม่ถึงการณ์” คือการ์ดยอดฮิตติดอันดับของมนุษย์ผู้ทำผิดพลาด แล้วไม่รู้จะรับมือกับความผิดพลาดนั้นอย่างไร แม้จะมีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้วทำผิดพลาดอยู่จริง (ซึ่งถ้าพลาดครั้งแรก สังคมก็พร้อมรับฟังและให้โอกาส) แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกที่พูดคำว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” เป็นรอบที่สิบ ไม่ว่าผิดกี่ครั้ง ไม่ว่าพลาดกี่หนก็พูดพล่อย ๆ เพื่อเอาตัวรอดให้พ้น ๆ ไป แล้วก็ปล่อยความผิดพลาดยุ่งเหยิงนั้นให้ยังอยู่ต่อไป ผู้ชายอย่างเรา ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่ทุกวัน ก็ย่อมต้องผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา หรือบางครั้งเราไม่ใช่คนพลาด แต่คนในปกครองหรือคนในความรับผิดชอบทำพลาด เราเองก็ต้องเป็นคนออกหน้า ในฐานะที่เราก็เบื่อคนพูดว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” เต็มทน เพราะเหมือนพูดแบบขอไปที UNLOCKMEN ขอเสนอคำพูดที่ผู้ชายอย่างเราใช้รับมือเมื่อเจอภาวะวิกฤต หรือทำผิดพลาด โดยเป็นคำพูดหรือวิธีการที่ดูเป็นรุ่นใหญ่ใจนิ่ง แถมดูเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ปัดความรับผิดชอบให้พ้น ๆ ตัว โลกยุค 5G ทุกอย่างต้องแสดงออกเร็วนะ! หากเกิดทันยุคที่ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างมาจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์เท่านั้น เราจะเข้าใจได้ทันทีว่าข้อมูลในยุคนี้ไหลเร็วขนาดไหน ไม่ใช่ระดับเวลาเช้า-เย็น เหมือนข่าวภาคเช้าและภาคค่ำอีกต่อไป แต่ข่าวนั้นเชี่ยวกรากกันเป็นระดับนาที! ดังนั้นเมื่อเราทำพลาดและมีคนพบข้อผิดพลาดนั้นแล้ว ให้รีบ Take Action ให้เร็วที่สุด แต่ละนาทีที่เราปล่อยเวลาให้ผ่านไป หมายถึงคอมเมนต์คาดเดาไปสารพัด หมายถึงการบอกกันปากต่อปาก
หนุ่ม ๆ หลายคนมีเวลาสำหรับออกกำลังที่จำกัด ไม่ว่าเพราะงานยุ่งหรืออะไรก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งมวลทุกสาเหตุมันทำทุกคนกำลังห่างเหินจากการออกกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการคิดค้นโปรแกรมฝึกระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์สำหรับหนุ่ม ๆ ที่อยากใช้เวลาว่างหลังเลิกงานในการออกกำลัง และแน่นอนว่าในเมื่อเวลาว่างหายาก โปรแกรมนี้จึงไม่ต้องคร่ำเคร่งจนถึงขนาดที่ต้องฟิตออกกำลังแทบทุกวัน แค่ Follow-up การฝึกเลือกให้ได้อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ (เลือกฝึกฝนร่างกายสัปดาห์ละ 2 ส่วน กระจายไปตลอด 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์) โดยการฝึกแต่ละครั้งกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนใครที่อยากเพิ่มความท้าทาย และมีเวลาเหลือเฟือ หากต้องการเห็นผลชัดเจนแบบสุด ๆ ก็สามารถเพิ่มวันฝึกซ้อมสูงสุดได้ถึง 4 วันต่อสัปดาห์ ตามโปรแกรมทั้ง 4 ที่เราลิสต์ไว้ให้ แต่ควรหาวันพักคั่นกลางเอาไว้ให้ร่างกายได้มีเวลาฟื้นฟูด้วย โปรแกรมนี้เหมาะสมกับใคร ? โปรแกรม Full-Body workout ที่แนะนำถูกคิดค้นขึ้นโดยเทรนเนอร์ชาวอังกฤษซึ่งเหมาะสมทั้งกับคนที่ต้องลดน้ำหนักหรือลีนไขมันออกจากกล้ามเนื้อ รวมถึงสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายโดย ที่สำคัญคือท่าที่แนะนำเป็นท่าฝึกที่ช่วยให้นักออกกำลังมือใหม่เข้าใจกลไกการทำงานของกล้ามเนื้อได้ดีมากขึ้นอีก How to Full-Body Workout โปรแกรมออกกำลัง Full-Body Workout ในแต่ละวันจะประกอบไปด้วยท่าออกกำลังเฉพาะส่วนทั้งหมด
“หมอตั้ม มาสเตอร์เชฟ” ใครหลายคนเรียกเขาแบบนั้น ด้านหนึ่งเขาคือ “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หมอหนุ่มไฟแรงที่ทุ่มเทสุดความสามารถให้กับการเป็นแพทย์ประจำบ้าน ณ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬา และอีกด้านหนึ่งเขาคือเชฟมากความสามารถที่ทำอาหารอร่อย ๆ ควบคู่ไปกับการเปิดเพจ Eat Matter ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงเปิดร้านกาแฟและขนมเพื่อสุขภาพไปในคราวเดียวกัน จากสายตาคนภายนอกหมอตั้มคือคนที่ประสบความสำเร็จ จนเรายินดีมอบตำแหน่ง “THE WINNER” ให้เขาได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเป็นหมอ จะสามารถแบ่งเวลามาทำสิ่งที่เต็มไปด้วยแพสชัน แถมยังผสานทั้งอาชีพหลักและความฝันให้ไปด้วยกันได้อย่างน่าภูมิใจ แต่กว่าจะมาเป็น THE WINNER ในวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาฟันฝ่าความท้าท้าย อุปสรรค และความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาไม่แพ้? เราอยากชวนทุกคนมารู้จัก “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หรือ “หมอตั้ม” ไปพร้อม ๆ กัน จากเด็กชายที่แพ้มาตลอด สู่แรงผลักดันให้ยิ่งสู้ ภาพจำของพวกเราทุกคนล้วนเข้าใจว่าคนเป็นหมอคือคนที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของเขาคงลิ้มรสชาติ “การชนะ” มาโดยตลอด แต่เปล่าเลย ชีวิตของหมอตั้มเริ่มจากการเรียนรู้ความพ่ายแพ้สม่ำเสมอตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเขาไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องกีฬา เกม หรือแม้แต่เรื่องเรียนที่ก็ท้อ และแพ้มาหลายครั้งเช่นกัน แต่ยิ่งแพ้ก็เหมือนยิ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักให้หมอตั้มเอาชนะให้ดีกว่าเดิม
คุณออกกำลังกายครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ? คำตอบของหลายคนอาจเป็น 1 สัปดาห์ 1 เดือนหรืออาจหลายเดือน รู้ตัวอีกทีร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉงก็เริ่มช้าลง ส่วนกล้ามเนื้อแขนและหน้าท้องก็ถูกแทนที่ด้วยไขมันไปซะแล้ว แต่ถึงจะรู้แบบนั้นหลายคนก็ไม่สามารถบอกให้ตัวเองเริ่มออกกำลังอย่างจริงจังได้สักที ด้วยเหตุผลนี้เอง UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับการตั้ง Workout Plan Goal หรือหาเป้าหมายเพื่อออกกำลังที่สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองซึ่งสามารถตั้งขึ้นได้อย่างอิสระ แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลไหนมาสนับสนุน วันนี้เรามาแนะนำ 5 Workout Plan Goal ที่ผู้ชายนิยมใช้กระตุ้นตัวเองมีไฟในการออกกำลังแต่จะมีเหตุผลอะไรบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Get A Six-Pack เอากล้ามท้อง..คืนมา อยากมีกล้ามท้อง หนึ่งในเป้าหมายยอดฮิตที่ผู้ชายอย่างเราใช้กระตุ้นให้ตัวเองให้ออกกำลัง หลังจากรู้ตัวว่าเริ่มมีพุงมาเยี่ยมเยือน หนุ่ม ๆ ที่บอกตัวเองให้ลุกขึ้นมาออกกำลังเพื่อสร้าง Six-Pack อาจเริ่มด้วยท่าออกกำลังง่าย ๆ เกี่ยวกับท้องเช่น Sit-up หรือ Plank ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่การออกกำลังเพื่อเบิร์นไขมัน หรือสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่ท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้เราจะตั้งเป้าหมายและบอกตัวเองว่าเรื่องสำคัญคือการสร้าง Six-Pack แต่ในทางปฏิบัติจริงเพียงแค่เราหมั่นออกกำลังให้มีความต่อเนื่องเป็นประจำเพื่อทำให้ไขมันหน้าท้องลดลงได้บ้าง ไม่ต้องถึงขั้นขึ้นกล้ามท้องชัดเหมือนนายแบบก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วเกินครึ่งทางแล้ว Build Strength อยากเพิ่มความแกร่ง ฉันอยากแกร่งขึ้น ถึงไม่ใช่พระเอกในมังงะแต่เชื่อว่าผู้ชายหลายคนมีความคิดนี้ติดตัวอยู่แน่นอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราแกร่งขึ้นเพื่อหาเรื่องหรือท้าทายคนอื่น แต่กลับกันหลายคนอยากมีร่างกายที่แข็งแรงไว้สำหรับปกป้องครอบครัว
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ ชาวกรุงจำนวนไม่น้อย อาจกำลังสับสนกับชีวิตที่ดูเหมือนจะสะดวกสบาย มีอิสระกับไลฟ์สไตล์กลางเมืองใหญ่ มีหน้าที่การงานดี รายได้น่าพอใจ แต่จริง ๆ แล้วอีกด้านของชีวิตนั้นกำลังถูกล้อมกรอบด้วยความเร่งรีบ มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม ความวุ่นวายในการเดินทาง แม้กระทั่งความเครียดจากการทำงานที่ยังไม่รู้ว่าจะหาจุด Balance ได้จากตรงไหน คงจะดีไม่น้อยถ้ากรอบข้อจำกัดของการใช้ชีวิตนั้นถูกทลายลงไป ให้เราได้เติมเต็มความสุขในรูปแบบชีวิตที่สามารถเลือกได้ แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังดูเพ้อฝัน เพราะหลายคนคงสงสัยว่าใครกันที่จะมีวิถีชีวิตที่เลือกได้ดั่งใจขนาดนั้น แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกภายใต้ภาวะบีบคั้นของสังคมเมือง เรายังสามารถสร้างรูปแบบชีวิตที่เลือกได้ เริ่มต้นจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างที่อยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างลงตัว และในวันนี้ UNLOCKMEN ขออาสาพาไปรู้จักกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ PITI SUKHUMVIT 101 อีกหนึ่งโครงการที่อยู่อาศัย ที่เรามั่นใจว่ามาพร้อมคุณสมบัติตอบโจทย์ Urban Men อย่างเรา ๆ ให้มีความสุขกับวิถีคนเมืองได้มากกว่าที่เคย กับจุดแข็งด้านต่าง ๆ ที่ช่วยอัพเกรดให้ชีวิตในข้อจำกัดเดิม ๆ กลายเป็นชีวิตที่เลือกได้ด้วยความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร การเดินทางที่เลือกได้ สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการจะหาคอนโดสักห้อง แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของทำเล ซึ่ง PITI SUKHUMVIT 101 นั้นมีทำเลที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร สามารถเลือกการเดินทางได้หลากรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละวัน ในวันว่างอยากนัดเพื่อนไปทานข้าว ดูหนัง ช็อปปิ้ง
ทำร้าย, วันเกิด, คืนนี้ขอหอม, ยิ้ม, อีกแล้ว, คำตอบ, สารภาพ, โปรดเถอะ, คำที่เป็นสุข, คนที่เดินผ่าน ฯลฯ แม้ไม่ต้องบอก แต่แทบทุกคนคงรู้ดีว่าเพลงที่คุ้นเคยเหล่านี้ คือผลงานของ ‘โป้ ปิยะ ศาสตรวาหา’ หรือ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ศิลปินที่บทเพลงซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านปลายปากกา ท่วงทำนอง เสียงร้อง และลีลาของเขาหลายต่อหลายเพลงได้กลายมาเป็นซาวด์แทร็กประกอบช่วงชีวิตของผู้คนมากมาย ที่เติบโตมาขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผู้ชายคนนี้มุ่งบำเพ็ญเพียรสร้างสรรค์ผลงานดนตรีตลอด 24 ปี วันนี้คอลัมน์ ZERO TO HERO จะพาชาว UNLOCKMEN ย้อนอดีตสู่เรื่องราวนับตั้งแต่ปี 2539 ปีแห่งการเริ่มต้นในฐานะศิลปินหน้าใหม่ ที่ซ่า บ้า กล้า แหวกแนวทางดนตรีเมนสตรีมในยุคนั้น จนมาถึงวันที่ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์นั้นมีการยอมรับในวงกว้างยืนยันได้จากเพลงฮิตมากมายของเขาที่ยังคงถูกนำมาเล่นซ้ำอยู่เสมอ ต่อเนื่องไปถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตบางอย่าง ก่อนที่จะก้าวผ่านมาถึงขวบปีที่ 24 แห่งเส้นทางดนตรี ซึ่งถือเป็นปีที่ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ กำลังจะรีบอร์นอีกครั้ง มือใหม่ไร้ชื่อกับเวทีใหญ่ครั้งแรก “ขอย้อนไปอีกนิดนึงช่วงก่อนจะได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในนามโยคีเพลย์บอย คุณโต้งมือกีต้าร์ของคุณอรอรีย์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันนี่แหละ อยู่ ๆ โต้งก็โทรมาชวนให้ไปเป็นนักดนตรีสมทบช่วยเล่นเบสให้หน่อย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก