หากคุณนึกถึงยุค 90’s คุณจะนึกอะไรเป็นอย่างแรก เชื่อว่าสิ่งที่ป๊อปอัพขึ้นมาในหัวแบบไว ๆ มากที่สุดของใครหลาย ๆ คนน่าจะต้องเป็นเทปอย่างแน่นอน มันคือฟอร์แมตการฟังเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น แต่แล้วเมื่อการเวลาเปลี่ยนไปเข้าสู่ช่วงยุค 2000’s ความสำคัญของเทปก็ค่อย ๆ หดหายไป จนในที่สุดมันก็ได้ตายไปจากอุตสาหกรรมดนตรี แต่แล้วในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา กระแสของเทปก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มีทั้งศิลปินอิสระและศิลปินมีสังกัดต่างผลิตเทปกันออกมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความประหลาดใจให้กับใครหลายคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่แทบไม่คุ้นเคยกับมันเลย และชายผู้อยู่เบื้องหลังผู้ปลุกกระแสเทปให้กลับมา ก็มีนามว่า “เจ-ณัฐพล สว่างตระกูล” เจ คือเจ้าของร้าน Cassette Shop ย่านประดิพัทธ์ ผู้เคยสะสมไว้หลายพันม้วน มีไลฟ์สไตล์ที่ไปไหนมาไหนต้องพกวอล์กแมน, หูฟัง, พร้อมเทปคู่ใจ 5-6 ม้วนอยู่เสมอ แถมยังเคยซื้อเทปด้วยการจ่ายเงินมากถึง 10,000 บาทภายในครั้งเดียวอีกด้วย จนสุดท้ายเขาก็ได้เปลี่ยนแพชชั่นให้กลายเป็นธุรกิจ และจากธุรกิจก็กลายเป็นการปลุกวัฒนธรรมยุค 90’s ให้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เรามาทำความรู้จักเรื่องราวของเขาให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ สัมผัสเทปม้วนแรกของคุณพ่อ ชีวิตวัยเด็กของทุก ๆ คนก็มักจะสัมผัสประสบการณ์และเรียนรู้ทุกเรื่องราวจากคนในครอบครัว ไม่ต่างจากเจที่มีความทรงจำการสัมผัสเทปม้วนแรกมาจากคุณพ่อ “จุดเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ๆ เลยครับ ผมโตมากับเทปเลย เกิดมาก็เห็นเครื่องเล่นเทปเลย
นักฟุตบอลระดับตำนานต่างบอกว่า พระเจ้าสร้างกีฬาฟุตบอลขึ้นมาเพื่อ Pele’ โดยเฉพาะ ทั้งสปีดความเร็วและเทคนิคการเล่นที่สวยงาม การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Pele’ ถูกยกขึ้นบูชาในฐานะ National Hero ของ Brazil เป็นสมบัติของชาติที่หวงแหน แม้จะไม่มีโอกาสได้ไปค้าแข้งลีกยุโรป แต่ก็เป็นนักบอลเพียงคนเดียวที่ได้สามแชมป์ World Cup สถิติที่ยังห่างไกลจากนักเตะแถวหน้าในโลกใบนี้ ชื่อจริงของ Pele’ คือ Edson Arantes do Nascimento ได้แรงบันดาลใจมาจาก Thomas Alva Edison ผู้คิดค้นไฟฟ้า โดยเอาตัว i ออกไปเหลือแค่ Edson เหตุผลเพราะบ้านของ Pele’ พึ่งจะมีไฟฟ้าเข้าถึงก่อนเขาเกิดมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น โดยตามทะเบียนบ้านระบุว่าเกิดในวันที่ 23 ตุลาคม 1940 ในเมือง Tres Coracoes ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Brazil แต่ตัว Pele เองกลับยืนยันว่าเจ้าตัวเกิดวันที่ 21 ตุลาคม แต่เป็นความผิดพลาดด้านเอกสาร ซึ่งคน Brazil
ช่วงนี้ดูเหมือนว่ากระแสของเพลงร็อกเริ่มจะกลับมาคึกคักมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากวงอย่าง Three Man Down ก็เพิ่งปรับเปลี่ยนสไตล์มาเป็นป๊อปพังก์ในเพลง “น้อง” ส่วนอีกหนึ่งวงที่ภาพของความเป็นร็อกชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นคือ Paper Planes พวกเขาเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ช่วยปลุกกระแสเพลงร็อก ไล่มาตั้งแต่เพลง “เสแสร้ง” จนมาถึง “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ที่กลายเป็นผลงานสร้างไวรัลไปทั่วบ้านทั่วเมือง ฮิตถึงขนาดเด็กอนุบาลยังต้องแหกปากร้องเพลงตาม และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดขอบตกกระแส Unlockmen เลยพาทุกคนมาพูดคุยกับ 2 สมาชิกของ Paper Planes ได้แก่ ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี ณ Kandee Studio ของ “อ๊อฟ Big Ass” ซะเลย “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ซิงเกิ้ล “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ถูกเผยแพร่ให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2022 มันใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือนก็สามารถทำยอดวิวใน Youtube ได้สูงถึง 22
Zero To Hero เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ไนซ์ – ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” หรือ AKA : NICECNX แร็ปเปอร์หนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของซิงเกิ้ลฮิต “หลอก” ที่ปัจจุบันมียอดเข้าชม MV มากถึง 111 ล้านวิว แถมยังเคยผ่านเวที Show Me The Money มาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ NICECNX ยังถูกเรียกไปแจมกับศิลปินอีกหลาย ๆ คน เช่น มิว ศุภศิษฏ์, แกงส้ม, Lipta เป็นต้น แต่กว่าที่ NICECNX จะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับ เขาก็ต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างที่ค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายมาเป็นประสบการณ์ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต เรามาดูกันดีกว่าว่าชีวิตของ NICECNX พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนกันบ้าง เปลี่ยนจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ NICECNX อย่างที่เราเกริ่นไว้แล้วว่าเจ้าตัวคือเด็กเชียงใหม่ เขาเติบโตมาพร้อมกับความสนใจในเรื่องแฟชั่น และคลุกคลีกับซีนดนตรีที่หลากหลายทั้งร็อก, อินดี้ รวมไปถึงฮิปฮอปกับกลุ่ม 8GARAD ที่มีเพื่อนแร็ปเปอร์อย่าง
ในช่วงเวลาปีแรกของการทำงาน (ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว) เราซื้อหนังสือเรื่อง The Catcher in the Rye ของ J. D. Salinger จากร้านหนังสือออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยมีเหตุผลไม่ได้ซับซ้อนว่า เป็นหนังสือที่ถูก Name Drop ในหนังไฮสคูลอเมริกันหลายเรื่อง ในแง่ที่ว่าเป็นหนังสือนอกเวลาที่ต้องใช้อ่านเพื่อเขียนเรียงความส่ง ซึ่งหนังที่เรารักที่สุดในชีวิตอย่าง The Perks of Being a Wallflower (2012) ก็พูดถึงวรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้เช่นกัน เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้จริง ๆ ตอนออกจากงานแรกที่พูดถึงในรรทัดก่อน แปลกดี (1) หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มวัยมัธยม Holden Caulfield กับช่วงเวลาการเติบโตสั้น ๆ ขณะขึ้นรถไฟไปนิวยอร์ก ซึ่งเต็มไปด้วยการตะโกนโหวกเหวกโวยวายของตัวละครตลอดทั้งเรื่อง แปลกดี (2) หลังจากผ่านไป 3 เดือนที่อ่านหนังสือเล่มที่ว่าจบ เราอ่านหนังสือเล่มไหนต่อไม่ได้เลย เพราะเรื่องราวของโฮลเดนยังค้างคาในจิตใจของตัวเอง วนเวียนอยู่ในความทรงจำเป็นระยะ ๆ ตลอดมา UNLOCKMEN ขอแนะนำให้เหล่าหนอนหนังสือได้รู้จักกับ Book
การฟังเพลงหรือฟังดนตรี นอกจากจะได้ความบันเทิงและความเพลิดเพลินแล้ว บางครั้งมันส่งผลต่ออารมณ์ของเราให้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้ฟังแนวดนตรีที่เราชื่นชอบ ก็ยิ่งทำให้เรามีความสุขกับท่วงทำนองที่ได้ยินง่ายดายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าให้ทุก ๆ คนได้ทราบกันว่าดนตรีส่งผลต่อเราได้แบบไหนกันบ้าง ดนตรีส่งผลต่อความเครียด ความเครียดไม่มีใครอยากเจอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในชีวิตมนุษย์จริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องคอยหาวิธีรับมือกับความเครียด เพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราจนป่วยทั้งกายและใจ ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แถมยังใกล้ตัวที่สุด ส่วนแนวเพลงที่เหมาะกับการฟังให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น เพลงคลาสสิก ที่จะช่วยปรับอารมณ์ของคุณให้สงบมากยิ่งขึ้น หรือจะลองฟังเป็นแนวเพลงดรีมป๊อป ก็น่าจะช่วยให้คุณเคลิบเคลิ้มไปกับเมโลดี้ได้เช่นกัน แต่หากคุณเป็นคอเพลงหนักกระโหลกอย่างเฮฟวี่เมทัล แม้ตัวเพลงจะรุนแรง แต่หากมันคือสิ่งที่คุณชอบแถมยังตรงจริต ก็เปิดฟังในช่วงเครียด ๆ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้วเพลงที่มีเนื้อหาให้กำลังใจก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะทำให้คุณรู้สึกเข้มแข็งได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดนตรีส่งผลต่อการกระตุ้นความทรงจำ เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยผ่านพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณเคยรู้สึกใช่ไหมหากเราได้ยินเพลงเก่า ๆ ที่เราเคยฟังในวัยเด็ก สิ่งที่ตามมาคือภาพความทรงจำในช่วงเวลานั้น ๆ จะย้อนกลับมาให้เรานึกถึงราวกับฉากในภาพยนตร์เลยทีเดียว ตัวเพลงเองก็เปรียบเสมือนลิ้นชักของความทรงจำของเรา บางครั้งมันก็กระตุ้นอดีตอันแสนสุข บางครั้งมันก็กระตุ้นวิถีชีวิตที่เราใช้ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ในบางครั้งมันก็กระตุ้นความทรงจำเศร้าที่เราเคยพบเจอมาได้เช่นกัน ดังนั้นหากเราอยากรำลึกถึงความทรงจำไหนซักเรื่อง ลองเปิดเพลงในช่วงเวลาเหล่านั้นดู รับรองได้ว่าภาพจะแฟลชแบ็คกลับมาอย่างแน่นอน เพลงเศร้าทำให้เราหายเศร้า แม้บางคนฟังเพลงเศร้าตอนที่กำลังเศร้าอาจจะทำให้อารมณ์ดำดิ่งไปมากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวในบางคนมันกลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้าม เพลงเศร้าโดยส่วนมากที่พบเจอมักจะเต็มไปด้วยเรื่องความความผิดหวัง, การสูญเสีย หรือการจากลา ถึงแม้เนื้อหาจะชวนหดหู่ขนาดไหน
ก่อนนอนคุณสตรีมมิ่งอะไรดูเพื่อให้นอนหลับสนิทกันครับ ส่วนตัวผมนั้นเช่าหอพักอยู่กับรูมเมท ที่จะต้องเปิดเรื่องเล่าประสบการณ์ผีจากทางบ้าน The Ghost Radio ฟังทุกคืนราวกับว่าเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อให้ตาปิดได้สนิท แต่มีอยู่คืนนึงครับ ตอนเวลา 00:40 ตามเวลานัด เพื่อนคนนี้ก็เร่ง Volume ให้เสียงของพี่แจ็คได้ขับกล่อมเหมือนคืนก่อน ๆ ซึ่งผมที่กำลังพยายามข่มตาหลับถึงกับต้องเปิดตาพร้อมเงี่ยหูฟังไปด้วย เพราะเรื่องเล่าในคืนนั้นเกิดขึ้นในหอที่พวกเราทั้งคู่อาศัยอยู่ แล้วจู่ ๆ คนเล่าคนนั้นก็บอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะทุกคืนตอนเวลา 00:40 จากห้องที่หมายเลขเดียวกับที่เราทั้งคู่นอนอยู่! ในตอนนั้นเอง ผมถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเพื่อจะคุยกับรูมเมทว่าจะเอายังไ ง… ในเตียงนอนของรูมเมทของผมว่างเปล่า มีเพียงเสียงหัวเราะที่ไม่มีต้นตออย่างน่ากลัวอยู่ตรงนั้น เป็นยังไงบ้างครับกับเรื่อง (แต่ง) ผีของผม ถ้าได้โทรไปเล่าให้ฟังเองจะน่ากลัวกว่านี้อีกนะ นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าถ้าเราโตขึ้นมาในประเทศไทยที่มี Soft Power เรื่อง ‘ผี’ เราก็จะมีทักษะในการเล่าเรื่องผีติดตัวไปโดยปริยาย แต่ต้องบอกก่อนนะครับถึงผมจะสนใจเรื่องผี แต่ตัวเองก็กลัวผีมาก ๆ แล้วเรื่องผีในบ้านเรานี่มีทุกรูปแบบ และเยอะแบบไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ ลองดูจากข้อมูลปี 2018 ที่ The MATTER ทำเอาไว้ ก็จะเห็นว่าเพียงรายการผีรายการเดียวในไทย ก็มีเรื่องเล่าที่ไม่ซ้ำกันเต็มไปหมด เอาจริง ๆ การเล่าเรื่องผีให้น่ากลัวก็เป็นศิลปะแบบเดียวกับอาชีพ Comedian
อกหักที่ว่าเรื่องใหญแล่ว แต่การมูฟออนจากการอกหักได้นี่สิเรื่องใหญ่กว่า แต่ในวิกฤติอะไรก็ตามแต่มักจะมีความหมายดี ๆ ซ่อนอยู่เสมอ ซึ่งมีหลัก ๆ ด้วยกัน 3 ข้อดังต่อไปนี้ ความล้มเหลวจากอดีตคือบทเรียนชั้นดี คงจะมีน้อยคนมากที่สามารถประสบความสำเร็จด้านความรักได้ตั้งแต่แฟนคนแรกในชีวิต (ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะโชคดีไม่น้อย) เพราะส่วนมากมักจะต้องผ่านประสบการณ์มากพอสมควร หรือบางคนก็โชกโชนมากกว่าที่จะได้พบจุดลงตัวการคำว่า “ชีวิตคู่” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะต้องพบเจอความล้มเหลวในเรื่องของความรักกันมาบ้าง เมื่อคุณต้องอกหัก, เสียใจ และผิดหวังจากความรักที่ไม่ได้เป็นไปดั่งใจคิด สิ่งที่เราควรทำคือไม่ใช่มัวแต่มานั่งโทษตัวเอง หรือเอาแต่บอกว่าตัวเราผิดพลาดอย่างนู้น ผิดพลาดอย่างนี้ เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือหนึ่งในประสบการณ์เรียนรู้ที่สำคัญของชีวิต เช่น เราอาจจะได้เห็นอีกมุมของตัวเองในการใช้ชีวิตคู่ หรืออาจจะได้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตคู่จริง ๆ แล้วเราควรจะปรับอะไรได้บ้างในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ พอเราสามารถคิดในมุมบวกได้ เชื่อได้เลยว่าคุณจะสามารถเยียวยาความทุกข์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ใช้ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดัน อย่าปล่อยให้ความเสียใจมาทำร้ายโอกาสดี ๆ ที่จะตามเข้ามาในชีวิต แต่ต้องปรับเปลี่ยนมันให้เป็นพลังในการพัฒนาศักยภาพตนเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมแทน เพราะเวลาที่เดินหน้าไปแล้วไม่มีวันย้อนกลับมาได้ หลาย ๆ คนมองว่าความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ซึ่งคุณต้องตีความให้ออกด้วยว่าความรักไม่ได้มีให้เฉพาะแฟน หรือภรรยาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีพ่อ, แม่, ครอบครัว รวมถึงตัวเราเองที่ต้องการความรักด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมามัวแต่นั่งซึมเป็นเดือน ๆ สู้เอาช่วงเวลาเหล่านี้ออกไปสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเองยังดีกว่า อย่าลืมว่าปัจจัยที่ควบคุมยากที่สุดก็คือมนุษย์ และุคุณเองก็ไม่สามารถคาดหวังกับอะไรได้ตรงตามต้องการ
ชีวิตการทำงานแน่นอนว่าต้องมีซักวันจะเราต้องเผชิญกับอาการ “เบื่อหน่ายงาน” ซึ่งปัจจัยก่อตัวมาจากหลายสาเหตุ เช่น การได้ทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จำเจ, งานเยอะเกินไปจนทำไม่ทัน หรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้เราลืมความรู้สึกตื่นเต้นตอนที่ได้สมัครเข้ามาทำงานวันแรกจนหมดสิ้น หากเราปล่อยมันไว้แบบนั้น มีหวังไฟในการทำงานก็จะพลอยมอดลงไปเรื่อย ๆ จนหมดสิ้น ดังนั้นหากคุณกำลังมีความรู้สึกอย่างที่ได้เกริ่นมา ก็ควรรีบจัดการแก้ปัญหามันซะให้เรียบร้อย ซึ่งทาง Unlockmen ก็มีวิธีมาแนะนำทุกคนดังนี้ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้หมดไฟ เมื่อปัญหาเกิด ก็ต้องจัดการปัญหาให้ถูกต้อง ค้นหาต้นตอของมันให้เจอ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลองคิดย้อนกลับไปว่าทำไมคุณถึงรู้สึกหลงรักงานที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบรนด์ของบริษัท, ตัวชิ้นงาน หรือเป็นที่หัวหน้าองค์กร รวมไปถึงลองคิดดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่เคยกระตุ้นให้คุณตื่นเต้นที่ได้ทำงาน ใช่โปรเจกต์ที่น่าสนใจหรือไม? หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน? การคิดแบบนี้จะช่วยนำความรู้สึกดี ๆ ในการทำงานกลับมาได้ไม่มากก็น้อย หลังจากเริ่มค้นหาจุดเริ่มต้นได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือจัดการสาเหตุที่ทำให้อาการหมดไฟเกิดขึ้น เริ่มแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหามันมีก็หลาย ๆ อย่างที่สามารถช่วยคุณได้ หรือในบางครั้งสิ่งเดียวอาจจะต้องใช้วิธีการแก้ไขปัญหาหลายอย่างมาซัพพอร์ต ตัวอย่างเช่น ปัญหา “คอขวด” (งานกองมากเกินไปทำให้เกิดความล่าช้า) ให้เราลองมองหาแผนการที่พอจะเป็นไปได้ในการเข้ามาจัดการ เช่น การเรียงลำดับความสำคัญของงานให้ถูกต้อง ในช่วงเช้าเลือกทำงานที่ดูยากที่สุดก่อน พอมาในช่วงบ่ายมันก็จะช่วยให้เรามีพลังทำงานมากขึ้นหลังจากทานมื้อเที่ยง และแน่นอนว่าถ้างานที่ง่ายเราก็ย่อมทำเสร็จได้ไวกว่า พอเราสามารถจัดการปัญหาของงานได้แล้ว ความรู้สึกสบายใจ และความสุขก็จะค่อย
ตามปกติทั่วไปแล้วการตั้งชื่อร้านหรือชื่อบริษัทในบ้านเราโดยมากมักจะคำนึงถึงเรื่องโชคลาง ต้องตั้งชื่อแล้วรู้สึกมีกำลังใจ หรือตั้งแล้วรู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองที่จะเกิดขึ้นกับกิจการของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับอู่ Harley-Davidson ของ คุณพัลลภ จำเนียรกาล หรือ “โนล (อ่านว่าโนน เพราะเจ้าตัวสะดวกแบบนี้ ฮ่า ๆๆๆ)” ที่ตั้งชื่อให้กิจการของตัวเองสุดกวนบาทาว่า “บรรลัยการาจ พังพินาศการช่าง” ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อบางกระเจ้า เรามาทำความรู้จักกับผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้ กับการให้บริการภายใต้คอนเซปต์ “แพงและนานคือมาตรฐานของเรา!” เริ่มต้นด้วยชีวิตนักดนตรี เดิมทีคุณโนลไม่ได้มีอาชีพเป็นช่างมาตั้งแต่ตอนแรก เพราะสมัยก่อนเขาใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีกลางคืนด้วยการเล่นเบสมาก่อน และก็เป็นช่วงนี้เองที่เขามีจักรยานยนต์เป็นของตัวเองคันแรก ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มได้ศึกษาการซ่อมรถด้วยเช่นกัน “ตอนนั้นผมเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ ผมจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปแต่พ่อไม่ให้ซื้อ ผมก็เลยเอาเงินไปซื้อรถโบราณมาเลยโดยยังไม่บอกเขา พอซื้อมา พ่อออกมาเห็น คำแรกที่พ่อพูดคือ ‘ซื้อมาทำไมรถจับกัง’ รถที่ผมซื้อคือ MZ ทรงหยดน้ำ ตอนนั้นผมก็งงทำไมพ่อพูดอย่างนั้น พ่อเลยขึ้นบ้านไปเอารูปสมัยก่อนตอนขี่รถอังกฤษมาให้ผมดู คือผมก็รู้นะว่าพ่อผมเคยขี่มอเตอร์ไซด์ เคยฟังจากลูกน้องพ่อผม พวกทหารจะเรียกรถพ่อผมว่าเป็นชอปเปอร์ แต่ผมก็ไม่รู้ ผมก็นึกว่าพ่อขี่ชอปเปอร์ทั่วไป แต่จริง ๆ มันคือพวกรถอังกฤษที่พ่อผมขี่สมัยวัยรุ่น ทีนี้ก็ค่อย ๆ ศึกษามาเรื่อย ๆ เลย ช่วงนั้นประมาณอายุ 18
คุณมองเสน่ห์สีสันของ ‘ชีวิตกลางคืน’ (night life) เป็นแบบไหน คือสีของแสงจากเสาไฟที่สาดถนนอันว่างเปล่า สีของไฟแช็คที่จุดขึ้นก่อนถูกกลบอบอวลด้วยควันของบุหรี่ หรือสีของแก้วเหล้าที่ถูกรังสรรค์ส่วนผสมในการชงอย่างดีจากบาร์เทนเดอร์คนโปรด เหตุผลข้อหลังสุดพาเรายืนอยู่หน้าร้าน WYNN WOOD florist studio ในซอยทองหล่อ 61 ร้านซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของ Midsummer Night’s Dream Bar บาร์ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทละครโศกของ Shakespear ทั้งชื่อเดียวกัน การตกแต่ง ไปจนถึงเครื่องดื่มที่ถูกคิดสูตรมาอย่างดี เรานัดเจอกับ ‘ออย-วรีวรรณ ยอดกมล’ ผู้เป็น Bar Manager ของที่นี่ และเธอเพิ่งได้รับคำพ่วงชื่อต่อท้ายอันใหม่ด้วยคำว่า ‘คนไทยคนแรกที่สามารถเข้ารอบ 2 ของการแข่งขัน Hennessy My Way ปี 2022’ ก่อนที่จะได้แข่งชงค็อกเทลกับบาร์เทนเดอร์ฝีมือฉกาจ 400-500 คนจากทั่วทุกมุมโลกใน Hennessy My Way 2022 คุณออยเป็นบาร์เทนเดอร์มากว่า 15 ปีแล้ว เธอหลงใหลในชีวิตกลางคืน
ตอนอายุ 17 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนมากคำตอบก็น่าจะหนีไม่พ้น “การเรียน” ซึ่งมันก็คือเรื่องปกติของทุก ๆ คนที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่สำหรับ “สไปรท์ – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ” แร็ปเปอร์วัยเยาว์เจ้าของเพลง “ทน” (ร่วมกับ GUYGEEGEE) ที่ฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยท่อนฮุค “พี่ไม่มี Louis Vuitton มีแต่หนี้ก้อนโต” ปัจจุบันเขามีอายุ 17 ปีเช่นกัน แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นศิลปินอาชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นผู้นำครอบครัว ซื้อบ้านหลังใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้แล้ว แต่ความฝันของสไปรท์กว่าจะได้มาไม่มีคำว่าง่าย อะไรที่เป็นสิ่งผลักดันให้หนุ่มน้อยจากจังหวัดฉะเชิงเทราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ มาติดตามเรื่องราวของแร็ปเปอร์ตัวจี๊ดคนนี้กันครับ พรสวรรค์การร้องเพลงเกิดขึ้นในห้องน้ำ สไปรท์ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่ถึงแม้จะดูแสบแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ มีความซื่อซื่อแบบตรงไปตรงมา เขาได้เล่าให้ฟังถึงที่มีมาที่ไปของชื่อตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากการที่พ่อแม่ชอบดื่มน้ำอัดลมแต่อย่างใด “ผมเคยถามพ่อผมอยู่เหมือนกันครับ พ่อผมบอกว่าตอนเด็ก ๆ (ตอนแรกเกิด) ผมอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาล พ่อผมบอกว่าผมตัวขาวมากก็เลยตั้งเป็นสไปรท์ เพราะน้ำสไปรท์มันขาว ก็เลยมาเป็นสไปรท์ครับ” สไปรท์ เติบโตมาไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป คือใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปโรงเรียน เล่นสนุกไปเรื่อยเปื่อย