ในโลกของยาเสพติดคงไม่มีชื่อไหนโด่งดังไปกว่า ‘Pablo Escobar’ เจ้าพ่อโคเคนแห่งโคลัมเบีย เขาเปรียบเสมือน Michael Jackson แห่งวงการสิ่งผิดกฎหมาย เรื่องราวของเขาถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์มากมาย แต่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็ต้องยกให้ซีรีส์ Narcos จาก Netflix ยุค 80 เป็นยุคที่ยาเสพติดกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด มีผู้ค้ารายใหญ่หลายก๊กหลายเหล่า แต่ Pablo Escobar สามารถพาตัวเองไปอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดได้ แค่ความใจถึงและเหี้ยมเกรียมคงไม่เพียงพอแน่นอน เขาต้องมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ดีด้วย ถึงแม้ว่าธุรกิจของ Pablo Escobar จะเป็นธุรกิจผิดกฏหมาย แต่ก็ต้องยอมรับในความเด็ดขาดและฉลาดในกลยุทธ์ ดังนั้นเราคิดว่าเคล็ดลับการทำธุรกิจของเขาก็มีประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของทุกคนได้แน่นอน Escobar ตั้งใจจะทำให้โคเคนของเขาเป็นโคเคนที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก มีความบริสุทธิ์สูงกว่าเจ้าอื่น ๆ จึงเข้มงวดเรื่องคุณภาพการผลิต เขาไม่เชื่อในกลไกตลาดที่จะต้องตัดราคาแข่งกันเพื่อทำยอดขายให้ได้มากกว่า เพราะถ้าสินค้ามีคุณภาพต่อให้ราคาจะสูง ยังไงลูกค้าก็ยินดีจ่าย โดยเฉพาะในโลกยาเสพติดอย่างโคเคน ที่คุณภาพเป็นสิ่งที่จับต้องได้ไม่ยาก และยิ่งทำให้คนติดงอมแงมมากขึ้นด้วย และข้อนี้ถือว่า Escobar คิดถูก ส่งผลให้ยอดขายโคเคนของเขาพุ่งสูงว่าแก๊งค้ายาใด ๆ บนโลก โดยเฉพาะการขยายไปตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ต่อจากข้อด้านบน Escobar รู้ดีว่ากำลังซื้อของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ ในโคลัมเบีย เขาขายโคเคน 1 กรัมได้ราคาแค่
บ่อยครั้งที่เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ยาก และตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งความอันตรายของสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเหล่านั้น คือ มันอาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Learned Helplessness ซึ่งเป็นอาการประเภทที่ทำให้เรายิ่งแก้ปัญหาและทำงานได้แย่ลงกว่าเดิม Learned Helplessness คือ ภาวะที่มนุษย์เจอกับความตรึงเครียด หรือ ควบคุมไม่ได้มาเป็นเวลานาน จนพวกเขาเกิดความรู้สึกสิ้นหวัง หรือ ไร้ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์นั้นอย่างสิ้นเชิง และสุดท้ายเมื่อมีโอกาสที่พวกเขาจะควบคุมหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะหมดกำลังใจ และไม่พยายามที่จะคลี่คลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เหล่านั้นอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น คนที่พยายามเลิกสูบบุหรี่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ แล้วคิดว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นนักสูบบุหรี่ เป็นต้น คนที่ตกอยู่ในภาวะนี้จะมีลักษณะเหล่านี้ เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางใจในฐานะผู้ถูกกระทำ (passive) กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเจอกับความยากลำบาก พวกเขาจะนิ่งเฉยและไม่ลงมือทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เหล่านั้น พวกเขาจะไม่เรียนรู้ว่าการ take action หรือ การตอบสนองต่อปัญหาจะช่วยให้พวกเขาสามารถควบคุมมันได้ และอาจมีระดับความเครียดที่สูงกว่าปกติอีกด้วย Learned Helplessness ถือเป็นปัญหาที่ขัดขวางการใช้ชีวิตของเราพอสมควร เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกสิ้นหวังเวลาอยู่เบื้องหน้าปัญหาที่ซับซ้อน หมดแรงจูงใจในการแก้ปัญหา ทำลายความมั่นใจในการใช้ชีวิต และทำให้เรามองโลกในแง่ลบอีกด้วย อีกทั้งมันยังส่งผลเสียต่อความสามารถในการทำงานของเรา งานวิจัย (2004) จากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Cedarville University ได้ศึกษาผลของ Learned Helplessness